ขณะที่ปี 2024 กำลังจะสิ้นสุดลง ผู้เข้าร่วมตลาดต่างก็รอคอยที่จะได้พบกับความเป็นไปได้จะเกิดซานต้าแรลลี่ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม และ 2 วันแรกของปีใหม่ สิ่งที่เรียกกันว่า "ซานต้าแรลลี่" ไม่ใช่เพียงตำนานของเทศกาลวันหยุดเท่านั้น แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนในตลาดการเงิน ซึ่งดึงดูดความสนใจได้จากทั้งเทรดเดอร์ นักวิเคราะห์ และนักลงทุน
ซานต้าแรลลี่คืออะไร?
ผู้ที่ชื่นชอบตลาดหุ้นได้เริ่มสังเกตเห็นซานตาแรลลี่เป็นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษปี 1970 และได้กลายมาเป็นจุดสนใจประจำปีของการเก็งกำไรในตลาด ในอดีต ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่โมเมนตัมของตลาดดีอย่างผิดปกติ โดยดัชนี S&P 500 มักจะทำลายสถิติกำไร ตั้งแต่ปี 1950 ดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวขึ้นราว 77% ในช่วงที่เกิดซานต้าแรลลี่ โดยมีอัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.3% ถึง 1.5% ตลอดเจ็ดวันนี้ ในปี 2023 ดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวขึ้น 1.7% ในช่วงที่เกิดซานต้าแรลลี่ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่อง
ซานต้าแรลลี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความรื่นเริงในวันหยุดเท่านั้น แต่มันยังถูกถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยทางจิตวิทยา เทคนิค และปัจจัยพื้นฐานที่สร้างเงื่อนไขตลาดที่เอื้ออำนวย ความรู้สึกเชิงบวกในช่วงเทศกาลวันหยุด การปรับตัวของนักลงทุนสถาบัน การพิจารณาเรื่องภาษี และปริมาณการซื้อขายที่ลดลง ล้วนส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาล
ปัจจัยของสิ่งนั้น
ความรู้สึกของนักลงทุนมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับช่วงวันหยุด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนักลงทุนมักมีเหตุผลที่จะร่าเริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคเป็นไปในทิศทางบวก เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นในปี 2024 เห็นได้จาก GDP ของไตรมาสที่ 3 ที่เติบโตในอัตรา 4.9% ต่อปี จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและการส่งออกที่กำลังพุ่งสูงขึ้น ตามข้อมูลของสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เติบโตขึ้น 3.6% ในไตรมาสที่ 3 ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดังกล่าวช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวก ซึ่งจะแปลงเป็นผลกำไรในตลาด
แรงกระตุ้นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการใช้ "การแต่งพอร์ต" ของนักลงทุนสถาบัน โดยที่ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนจะปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนของตนใหม่เพื่อสะท้อนการถือครองหุ้นที่มีผลงานดีกว่าในช่วงปลายปี ในปีนี้ มันอาจมีความเด่นชัดมากขึ้น เนื่องจากผลการดำเนินงานในแต่ละภาคส่วนไม่สม่ำเสมอกัน ผู้จัดการกองทุนจะต้องการปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุนใหม่เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปิดรับความเสี่ยงต่อเทคโนโลยี ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลกำไรจากตลาดในช่วงซานต้าแรลลี่ได้
การลดหย่อนภาษีเงินได้จากการลงทุนก็มีบทบาทที่สำคัญเช่นกัน นักลงทุนในสหรัฐฯ มักเทขายหุ้นที่มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานเพื่อชดเชยกำไรจากส่วนทุน จากนั้นค่อยนำกลับไปลงทุนใหม่ในโอกาสอื่น ๆ ในปีนี้ ความผันผวนที่เกิดขึ้นกับหุ้นพลังงานและหุ้นขนาดเล็กล้วนส่งผลให้มีการลดหย่อนภาษีเงินได้จากการลงทุนในปริมาณสูง ตัวอย่างเช่น หุ้นพลังงานได้ลดลงประมาณ 12% ในปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจล็อกการขาดทุน กิจกรรมการลงทุนซ้ำหลังการขายเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาด โดยเฉพาะในตอนที่นักลงทุนเปิดสถานะใหม่เพื่อเริ่มต้นปี 2025 อย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ซานต้าแรลลี่ยังได้รับแรงหนุนจากปริมาณการซื้อขายที่ลดลงในช่วงวันหยุดอีกด้วย ผู้ประกอบการสถาบันจำนวนมากต่างออกไปเที่ยวในช่วงวันหยุด และการมีส่วนร่วมในตลาดก็ลดลง ปริมาณที่ลดลงอาจทำให้ราคาเคลื่อนไหวเกินจริง ดังนั้นแม้จะซื้อเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้เกิดกำไรที่มากพอสมควรได้ เนื่องจากการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางส่วนใหญ่สำหรับปี 2024 ได้ถูกกำหนดไปแล้ว จึงมีความเสี่ยงน้อยลงที่จะเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่น่าประหลาดใจ ซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะการซื้อขายที่เงียบลงและเพิ่มโอกาสในการเกิดการพุ่งขึ้นตามฤดูกาล
เราควรเลือกอะไรดี?
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ให้คำบอกใบ้ถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นผลดีต่อดัชนีและหุ้น ดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมได้เพิ่มขึ้น 3.2% จาก 3.7% ในเดือนกันยายนเมื่อเทียบเป็นรายปี แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อค่อย ๆ อยู่ภายใต้การควบคุม การรักษาเสถียรภาพของนโยบายการเงินนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้น และปูทางไปสู่การปรับตัวขึ้นที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ในระหว่างนี้ การประเมินมูลค่าหุ้นได้กลับสู่ภาวะปกติหลังจากจุดสูงสุดในช่วงที่เกิดโรคระบาด โดยอัตราส่วน P/E ล่วงหน้าของ S&P 500 อยู่ที่ประมาณ 18.5 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในช่วงที่ยังมีพื้นที่สำหรับการเติบโตต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินไป
ดัชนี US500 ซึ่งอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว ได้สร้างรูปแบบช่องทางขาขึ้น ราคาได้อัปเดตจุดสูงสุดตลอดกาลแล้วและกำลังสะสมราคาที่ระดับ Fibonacci 161.8 ราคาอาจมีการปรับฐานเล็กน้อยก่อนที่จะเติบโตต่อไป
อาจพิจารณาเข้าซื้อ US500 หากราคาทะลุระดับ 6,040 โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 6,260
ณ เดือนธันวาคม 2024 Apple ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ได้มีปีที่น่าเหลือเชื่อที่เกิดจากความต้องการ iPhone 16 รุ่นล่าสุด และการเติบโตในกลุ่มบริการต่าง ๆ ที่รวมถึง Apple Music, iCloud และ Apple TV+ กลุ่มบริการเพียงอย่างเดียวได้สร้างรายได้มากถึง 87,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นส่วนที่มากพอสมควรของผลกำไรของบริษัท ในความเป็นจริงแล้ว แผนริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่บริษัทได้วางไว้ในอินเดียถือเป็นแรงกระตุ้นการเติบโตที่สำคัญ ในขณะที่ยอดขายในภูมิภาคได้เพิ่มขึ้น 38% ในปี 2024 นอกจากนี้ การบุกเบิกผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะ Apple Vision Pro ได้ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในพื้นที่ AR โดยมียอดการสั่งซื้อล่วงหน้าที่แข็งแกร่งซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับบรรดานักลงทุน
#APPLE ได้สร้างรูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้น ราคาได้แตะถึงขอบบนแล้ว และไดเวอร์เจนซ์ฝั่งบนของ RSI ได้ถูกทำลายลง ซึ่งช่วยให้สามารถเติบโตได้
อาจพิจารณาเข้าซื้อ #APPLE ในตอนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 237 โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 262
ในปี 2024 Google ได้รายงานผลประกอบการไว้ที่ 328 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน โดยต้องขอบคุณผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Google Cloud และธุรกิจโฆษณาหลัก ผลประกอบการของ Google Cloud ได้เติบโตขึ้น 25% เนื่องมาจากได้มีการนำโซลูชันคลาวด์ไปใช้ในองค์กรเพิ่มมากขึ้น และเริ่มมีกำไรเป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท เมื่อพูดถึง Generative AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากความสำเร็จของโครงการ Bard AI และการผสานรวม AI เข้ากับ Google Workspace แล้ว Alphabet ก็สามารถที่จะแซงหน้าคู่แข่ง เช่น Microsoft และ OpenAI ได้
#GOOGLE ได้ร่วงลงมาสู่เส้นแนวโน้มหลังจากอัปเดตจุดสูงสุดตลอดกาล และได้ดีดตัวกลับขึ้นมา ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย
การซื้อ #GOOGLE ในตอนที่เกิดการสะสมราคาเหนือระดับ 168 โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 190 อาจเป็นที่น่าพิจารณา
สรุป
ซานต้าแรลลี่ปี 2024 ได้ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดีที่จะปิดท้ายปีที่เต็มไปด้วยสัญญาณเศรษฐกิจแบบผสม ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงได้สร้างสมดุลให้กับการเติบโตที่ยืดหยุ่น ตลาดยังคงดิ้นรนเป็นบางครั้งท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบหลักขิงการปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปีก็ยังคงอยู่เป็นส่วนใหญ่
สำหรับนักลงทุน การสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในช่วงเวลานี้ แม้ว่าประวัติศาสตร์อาจจะสนับสนุนการปรับตัวขึ้น แต่ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงและการระมัดระวังก็ไม่ควรถูกเน้นย้ำมากจนเกินไป ช่วงวันหยุดอาจทำให้พอร์ตการลงทุนมีความสุข แต่การเปิดรับความเสี่ยงในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีเสถียรภาพโดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญในการเดินหน้าตลาดในปี 2025