ภาพรวมตลาด
แรงกดดันต่อราคา Bitcoin ยังคงมีน้ำหนักมาก จากบรรยากาศที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในตลาดการเงินทั่วโลก โดยการร่วงลงกว่า 5–6% ต่ำกว่าโซน 90,000 ดอลลาร์ สอดคล้องกับแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหลังผู้ว่าการ BOJ ส่งสัญญาณชัดว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามที่ประเมินไว้ ความเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นจุดสำคัญ เพราะญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในแหล่งทุนต้นทุนต่ำรายใหญ่ของโลก เมื่อเข้าสู่โหมดการเงินที่เข้มงวดขึ้น ย่อมดูดสภาพคล่องออกจากสินทรัพย์เก็งกำไร รวมถึงคริปโตโดยตรง ขณะเดียวกันตลาดยังเผชิญความกังวลเรื่องฟองสบู่หุ้นเทคและ AI ที่เริ่มย่อตัว ทำให้กระแสเงินใหม่ชะลอการเข้าซื้อ Bitcoin ในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้านโครงสร้างตลาดเองก็เริ่มส่งสัญญาณฝั่งหมีเด่นขึ้นเรื่อย ๆ เช่น สเปรดฟิวเจอร์ส Bitcoin บน CME ระหว่างสัญญาใกล้หมดอายุกับสัญญาระยะ 3 เดือน ที่แคบลงแตะระดับต่ำสุดรอบปี สะท้อนว่านักลงทุนไม่พร้อมจ่ายส่วนเพิ่มเพื่อถือสถานะยาวเหมือนเช่นก่อน อีกทั้งข้อมูลเงินทุนไหลออกในเดือนพฤศจิกายนยืนยันว่าเป็นเดือนที่ตลาดคริปโต “ขาดทุนหนักที่สุดตั้งแต่ปี 2021” ส่งผลให้ Bitcoin กลายเป็นเหมือนตัววัดความเสี่ยงของตลาดในช่วงนี้ เมื่อราคาขยับลงแรง ก็ยิ่งกระตุ้นให้กองทุนและนักลงทุนรายใหญ่ลดน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง ก่อให้เกิดแรงกดดันเป็นลูกโซ่ต่อราคา
ปัจจัยเชิงกฎระเบียบจากจีนยังเพิ่มแรงกดดันลงไปอีกขั้น หลัง PBOC ออกมาย้ำว่าสินทรัพย์ดิจิทัลและ stablecoin ยังคงเป็นกิจกรรมการเงินที่ผิดกฎหมาย และมีแนวโน้ม “เข้มงวดปราบปราม” เพิ่มขึ้น กระแส FUD ที่กลับมาจากจีนไม่เพียงทำให้เทรดเดอร์ในเอเชียระมัดระวังมากขึ้น แต่ยังสะท้อนว่าตลาดคริปโตยังเผชิญความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากประเทศขนาดใหญ่ที่ไม่ยอมรับสินทรัพย์ประเภทนี้ การที่หุ้นบริษัทคริปโตในฮ่องกงและประเทศอื่นร่วงทันทีหลังถ้อยแถลงของทางการจีน ตอกย้ำว่าแรงลงของ Bitcoin ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเหวี่ยงทางเทคนิค แต่มีมิติด้านนโยบายที่กดเพดานความต้องการในระยะสั้นจนกว่าสถานการณ์จะชัดเจนกว่านี้
สุดท้าย โครงสร้างเลเวอเรจในตลาดคริปโตยังเป็นตัวจุดประกายความผันผวนรอบล่าสุด โดยข้อมูลบ่งชี้ว่าเลเวอเรจในฟิวเจอร์ส Bitcoin แบบ perpetual อยู่ในระดับสูงมาก บางแพลตฟอร์มมีสัดส่วนเลเวอเรจสูงถึง 200 เท่า การร่วงลงครั้งนี้ถูกโยงกับการ “ชำระบัญชี” มูลราว 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าหากราคายังไม่สามารถดีดพ้นระดับต่ำปัจจุบันได้ ก็มีโอกาสเห็นคลื่น forced liquidation รอบใหม่ตามมา นอกจากนี้ ปัจจัยลบอย่างการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของ Tether และความเสี่ยงที่บริษัทใหญ่ที่ถือ Bitcoin อยู่จำนวนมากอาจจำเป็นต้องขายเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน ก็ยิ่งเพิ่มแรงขายจากฝั่งอุปทานที่รออยู่ในระบบ เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน ภาพรวมจึงยัง “หนักไปทางฝั่งขาย” สนับสนุนมุมมองว่า BTCUSD มีความเสี่ยงปรับตัวลงต่อ มากกว่าจะกลับตัวขึ้นทันที
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
BTCUSD
ราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่ากรอบแนวต้านสีแดงอย่างชัดเจน พร้อมทั้งยังคงถูกกดดันโดยโครงสร้างการปรับตัวลงตามกรอบเทรนไลนขาลงที่ยังแข็งแกร่งอยู่ ทำให้ภาพรวมมีแนวโน้มที่แรงขายจะยังคงครอบงำและผลักดันราคาให้ปรับตัวลงต่อได้ในระยะถัดไป โดยแนวรับสำคัญถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 69,183.18 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่อาจเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาพักฐาน อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถดีดตัวกลับขึ้นไปทะลุแนวต้านบริเวณ 106,500 ดอลลาร์ได้สำเร็จ ก็จะเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าโมเมนตัมขาลงเริ่มอ่อนแรงลง และอาจเปิดทางให้ราคาเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัวที่มีความหมายมากขึ้น
BTCUSD (DAILY)

