ภาพรวมตลาด
แม้ JPMorgan จะเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจมหภาค แต่ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 ยังคงสะท้อนความแข็งแกร่งของฐานธุรกิจอย่างชัดเจน โดยมีกำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วอยู่ที่ 4.96 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ พร้อมกันนั้นยังแสดงอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่จับต้องได้ (ROTE) สูงถึง 20% จุดเด่นในไตรมาสนี้มาจากรายได้ตลาดทุนที่พุ่งขึ้น 15% และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Investment Banking ที่ทยอยฟื้นตัว ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องนโยบายภาษี
ด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ยังคงเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของการเติบโต โดยมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.55 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะเดียวกันการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อขายส่งที่เติบโต 6% เมื่อเทียบรายไตรมาส ก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวในระบบเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น อีกทั้งเงินฝากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 8.3% ในปีเดียวกัน ยังสะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อเสถียรภาพของ JPMorgan แม้ภาคการเงินยังเต็มไปด้วยความผันผวนก็ตาม
อีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้ JPMorgan โดดเด่นคือ กลยุทธ์การขยายตัวแบบผสมผสาน ทั้งการเพิ่มจำนวนสาขากว่า 500 แห่งในสหรัฐฯ ภายในปี 2027 และการเสริมเครือข่ายดิจิทัลในยุโรปผ่านธนาคาร Chase ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเยอรมนี ธนาคารยังคงรักษาสถานะผู้นำในตลาด Investment Banking และขยายขอบเขตบริการด้วยการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ เช่น First Republic Bank และ Global Shares เพื่อต่อยอดฐานลูกค้าและสร้างโอกาสใหม่ในตลาดโลก
แม้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยเฉพาะการลงทุนในเทคโนโลยี ที่คาดว่าจะสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 จะเป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ JPMorgan ก็ยังดำเนินนโยบายคืนทุนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างเข้มข้น ทั้งการเพิ่มเงินปันผลรายไตรมาสเป็น 1.50 ดอลลาร์ และการอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่ากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของฝ่ายบริหารต่อความสามารถในการสร้างกำไรในระยะยาว เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดแล้ว จึงเห็นได้ว่า หุ้น JPM ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อจากรากฐานธุรกิจที่แข็งแรงและศักยภาพการเติบโตที่ยังเปิดกว้างในอนาคต
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
JPM
ราคาของหุ้น JPMorgan Chase (JPM) ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยสามารถยืนเหนือกรอบแนวต้านสีแดงได้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นการยืนยันถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่ยังไม่อ่อนแรงลง อีกทั้งราคายังคงเคลื่อนไหวภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสไปทดสอบระดับที่สูงกว่ายังคงมีความเป็นไปได้สูง โดยแนวต้านถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 330 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่ตลาดอาจเฝ้าจับตาเป็นพิเศษ ขณะเดียวกัน หากราคาปรับตัวลงและหลุดกรอบแนวรับบริเวณ 285 ดอลลาร์ ก็อาจส่งสัญญาณให้แนวโน้มเปลี่ยนเป็นขาลงได้ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในฝั่งซื้ออาจอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
JPM (DAILY)
