เปิดบัญชี
เปิดบัญชีล็อกอิน
เปิดบัญชี

05 พ.ย. 2025

กลยุทธ์

รูปแบบ Descending Channel ในการเทรดคืออะไร?

ในบทเรียนนี้
รูปแบบ Descending Channel คืออะไร?วิธีแยกแยะ Descending Channel ออกจากรูปแบบอื่นวิธีระบุรูปแบบ Descending Channelกลยุทธ์การเทรดสำหรับรูปแบบ Descending Channelกรณีศึกษา: วิธีการเทรดใน Descending Channelการยืนยันร่วมกันระหว่างตัวชี้วัดและปริมาณบริบทหลายกรอบเวลาการบริหารความเสี่ยงสำหรับการเทรดในช่องสัญญาณข้อดีและข้อเสียของรูปแบบ Descending Channelข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยงสรุปสาระสำคัญคำถามที่พบบ่อย (FAQ)อภิธานศัพท์

รูปแบบ Descending Channel ในการเทรดคืออะไร?

การรู้จักรูปแบบต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็เหมือนกับการมีแผนที่นำทางที่ช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างชาญฉลาดและสร้างกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะเทรด Forex หุ้น หรือ คริปโต รูปแบบเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันทรงพลังเกี่ยวกับทิศทางของตลาด รวมถึงโอกาสในการทำกำไร ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ รูปแบบ Descending Channel (ช่องสัญญาณขาลง) ลักษณะสำคัญของมัน และเคล็ดลับการใช้งานในทางปฏิบัติสำหรับเทรดเดอร์

รูปแบบ Descending Channel คืออะไร?

รูปแบบเป็นองค์ประกอบสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาและสร้างกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จได้ มีหลายรูปแบบให้ศึกษา เช่น ช่องสัญญาณแนวนอน (Horizontal Channel), ช่องสัญญาณขาขึ้น (Ascending Channel), สามเหลี่ยม (Triangle), แท่งเทียน (Candlestick) และอื่น ๆ อีกมากมาย มาโฟกัสที่รูปแบบ Descending Channel กัน

รูปแบบ Descending Channel หรือ ช่องสัญญาณขาลง เกิดขึ้นเมื่อราคาขยับตัวลดลงระหว่างเส้นแนวโน้มสองเส้นที่ขนานกัน โดยแสดงให้เห็นถึง ยอดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower Highs) และ จุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Lows) เมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่ราคาแกว่งตัวไปมาภายในกรอบนี้ จะเกิดช่องสัญญาณแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน ทุกครั้งที่ราคาดีดตัวขึ้นจะทำยอดได้ต่ำลง และทุกครั้งที่ร่วงลงจะทำจุดต่ำสุดใหม่

โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบนี้ถือเป็น สัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation) แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณกลับตัว (Reversal Signal) ได้ หากเกิดในบริบทของแนวโน้มตลาดที่กว้างกว่า

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบต่าง ๆ และวิธีเทรด อ่านได้ที่บทความของ FBS เรื่องรูปแบบแผนภูมิการเทรดที่คุณควรรู้ (Common Trading Chart Patterns You Should Know)

วิธีแยกแยะ Descending Channel ออกจากรูปแบบอื่น

Descending Channel มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นรูปแบบอื่น แต่ความแตกต่างเหล่านี้สำคัญมากเมื่อใช้ในการเทรด

  • Descending Channel กับ Falling Wedge
    ทั้ง Descending Channel และ Falling Wedge ต่างก็เคลื่อนตัวลง ความแตกต่างก็คือ Falling Wedge จะแคบลงเมื่อเวลาผ่านไปโดยที่เส้นสองเส้นมาอยู่ใกล้กันมากขึ้น การแคบลงนี้แสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมกำลังลดลง และมักเกิดขึ้นก่อนการกลับตัวเป็นขาขึ้น ขณะที่ Descending Channel นั้นไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเส้นทั้งสองยังคงขนานกัน ซึ่งโดยทั่วไปบ่งบอกถึงการต่อเนื่องของขาลง

  • Descending Channel กับ Bull Flag
    Descending Channel เกิดขึ้นภายในแนวโน้มขาลงที่กว้างขึ้น และไม่ควรถูกมองว่าเป็นสัญญาณการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นโดยอัตโนมัติ Bull Flag อาจดูคล้ายกัน แต่จะเอียงต่ำลงในช่วงขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และถูกมองว่าเป็นการพักฐานชั่วคราวก่อนที่แนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นต่อไป

  • Descending Channel กับ Rectangle
    Descending Channel มีความลาดเอียงลง โดยแสดงจุดสูงสุดที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่องและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเช่นกัน ในขณะที่ Rectangle มีแนวรับแนวต้านในแนวนอน แสดงถึงการแกว่งตัวออกด้านข้าง (sideway)

การจำแนกรูปแบบที่ชัดเจนช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด การเทรดใน Channel โดยเข้าใจผิดว่าเป็นรูป Wedge หรือ Flag อาจนำไปสู่การเทรดสวนแนวโน้มได้

วิธีระบุรูปแบบ Descending Channel

วิธีการระบุรูปแบบ Descending Channel

เพื่อระบุช่องแนวโน้มขาลง ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. ขั้นแรก ให้ระบุองค์ประกอบหลักของรูปแบบและลากเส้นแนวโน้ม

    1. เชื่อมต่อจุดสูงสุดที่ต่ำลงสองจุดหรือมากกว่าซึ่งกำลังทดสอบแนวต้านของเส้นแนวโน้มด้านบนอีกครั้ง

    2. จากนั้นลากเส้นเชื่อมต่อจุดต่ำสุดสองจุดหรือมากกว่าที่ต่ำกว่าและอยู่ในแนวเดียวกับเส้นแนวโน้มขาลงเพื่อเป็นแนวรับ หาจุดสัมผัสอย่างน้อยสี่จุดเพื่อยืนยันความถูกต้องของรูปแบบช่องสัญญาณ

  2. ขั้นต่อไป ให้ยืนยันรูปร่างของรูปแบบ: เส้นแนวโน้มทั้งสองเส้นต้องลาดลงและเกือบขนานกัน

  3. ขั้นสุดท้าย ให้สังเกตพฤติกรรมภายใน: ปกติแล้วราคาจะเด้งไปมาระหว่างเส้นแนวโน้มเหล่านี้จนกว่าจะเกิดการพุ่งทะลุ

  4. เมื่อราคาพยายามหลายครั้งแต่ไม่สามารถแตะหรือทะลุเส้นแนวรับด้านล่างได้ นั่นมักเป็นสัญญาณเริ่มต้นว่าฝั่งผู้ขายเริ่มหมดแรงแล้ว อาการเหนื่อยล้าของแรงขายแบบนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าขาลงกำลังเริ่มอ่อนแรง และการทะลุขึ้น (Bullish Breakout) อาจกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

รูปแบบนี้แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่มีการควบคุม ซึ่งราคาจะค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะร่วงฮวบลงอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา

เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและเทรดอย่างมั่นใจกับ FBS เข้าร่วมชุมชนของเราตอนนี้

วิธีตรวจสอบว่า Channel ถูกต้องหรือไม่

  • Channel ที่ถูกต้องต้องมีจุดสัมผัสที่ชัดเจนอย่างน้อยสองจุดบนขอบเขตด้านบนและด้านล่าง (รวมทั้งหมดสี่จุด) ยิ่งมีจุดสัมผัสมาก รูปแบบก็จะยิ่งน่าเชื่อถือ

  • เส้นทั้งสองต้องลาดลง หากเส้นราบเกินไป รูปแบบจะดูเหมือน Rectangle

  • เส้นทั้งสองควรขนานกันโดยประมาณ หากเส้นเริ่มบีบเข้าหากัน รูปแบบจะกลายเป็น Falling Wedge ไม่ใช่ Channel

  • หากราคาทะลุขอบทั้งสองหลายครั้งโดยไม่มีการดีดกลับ Channel นั้นจะไม่ถูกต้องอีกต่อไป

กลยุทธ์การเทรดสำหรับรูปแบบ Descending Channel

กลยุทธ์การเทรดสำหรับรูปแบบ Descending Channel

รูปแบบแต่ละแบบต้องใช้แนวทางเฉพาะตัว นี่คือกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณทำกำไรเมื่อเทรด Descending Channel เลือกวิธีที่เหมาะกับคุณ เป้าหมาย และสไตล์การเทรดของคุณ

1. กลยุทธ์ Breakout (การกลับตัวเป็นขาขึ้น)

เมื่อราคาทะลุเส้นแนวต้านด้านบนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหากมาพร้อมกับแรงโมเมนตัมหรือปริมาณเทรดสูง มักสื่อว่าขาลงสิ้นสุดแล้ว และกำลังเริ่มโมเมนตัมขาขึ้นใหม่

นี่คือสัญญาณการกลับตัวเป็นขึ้น (Bullish Reversal) ที่เป็นไปได้ และเป็นจังหวะดีในการเข้าซื้อ

วิธีเทรด:

  • จุดเข้า: รอให้แท่งเทียนปิดเหนือแนวต้านด้านบนอย่างชัดเจน อย่ารีบเข้าในช่วงที่แท่งเทียนพุ่งทะลุ ควรรอให้มันปิดเพื่อยืนยันการเคลื่อนไหว

  • Stop Loss: วางไว้ใต้จุดต่ำสุดของการแกว่งครั้งล่าสุดหรือใต้เส้นล่างของช่องสัญญาณ เพื่อป้องกันการพุ่งทะลุหลอก

  • เป้าหมาย: วัดความสูงของช่องสัญญาณ (ระยะระหว่างแนวรับและแนวต้าน) แล้วฉายระยะขึ้นจากจุดที่ราคาพุ่งทะลุ

2. กลยุทธ์ Range-Bound (การเทรดในกรอบราคา)

กลยุทธ์ Range-Bound (การเทรดในกรอบราคา)

ไม่ใช่เทรดเดอร์ทุกคนที่รอให้เกิดการพุ่งทะลุ เทรดเดอร์บางรายเลือกที่จะเทรดภายในแนวโน้ม โดยเลือกสถานการณ์ที่คาดการณ์ได้มากขึ้นและมีความเสี่ยงน้อยลง ราคาในช่อง Descending Channel มักจะเคลื่อนไหวไปมาระหว่างเส้นแนวต้านและแนวรับ ทำให้มีโอกาสจำนวนมากในการเปิดสถานะขายใกล้เส้นฝั่งบน และเปิดสถานะซื้อใกล้เส้นฝั่งล่าง ในกรณีนี้ กลยุทธ์ Third Touch (การสัมผัสครั้งที่สาม) คือตัวเลือกที่ดี

กลยุทธ์ Range-Bound (การเทรดในกรอบราคา)

วิธีกำหนดจุดเข้า:

  1. การสัมผัสครั้งแรก: ราคาสัมผัสแนวรับหรือแนวต้านครั้งแรก แต่อาจเด้งกลับ

  2. การสัมผัสครั้งที่สอง: ราคาทดสอบระดับเดิมอีกครั้งด้วยแรงโมเมนตัมที่น้อยลง

  3. การสัมผัสครั้งที่สาม: ราคาสัมผัสระดับเดิมอีกครั้ง และครั้งนี้มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวหรือพุ่งทะลุไป

ในการตั้งคำสั่ง Take Profit ให้ตั้งเป้าที่ขอบตรงข้ามของช่องสัญญาณ วิธีนี้ช่วยคุณกำหนดเป้าหมายที่สมเหตุสมผลตามพฤติกรรมราคาก่อนหน้า

ส่วนการตั้ง Stop Loss ให้วางต่ำกว่าเส้นแนวรับเล็กน้อยหรือจุดต่ำสุดล่าสุดเพียงไม่กี่ pip

หากต้องการเรียนรู้วิธีนี้เพิ่มเติม โปรดอ่านบทความ "กลยุทธ์การเทรดแบบ Third Touch (การสัมผัสครั้งที่สาม)"

3. กลยุทธ์ Bearish Continuation Breakdown

Descending Channel ส่วนใหญ่ดำเนินตามแนวโน้มขาลงเดิม การตั้งค่า Bearish Continuation จะเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุเส้นแนวรับด้านล่าง

  • จุดเข้า: รอแท่งเทียนปิดต่ำกว่าเส้นล่างของ Channel พร้อมยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายหรือตัวบ่งชี้โมเมนตัม

  • Stop Loss:วางไว้เหนือจุดสูงสุดเล็กน้อยภายในช่องสัญญาณ หรือเหนือเส้นแนวรับที่พุ่งทะลุ เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการทะลุหลอก

  • เป้าหมาย: วัดความสูงของ Channel และฉายลงจากจุดพุ่งทะลุหรือใช้แนวรับสำคัญถัดไปในแนวนอนเป็นเป้าหมายกำไร

วิธีนี้ใช้ประโยชน์จากแรงแนวโน้ม แต่ต้องมีวินัย การพุ่งทะลุหลอกอาจทำให้ผู้ขายที่รีบโดดเข้าให้ติดกับได้ ดังนั้น ควรรอการยืนยันก่อนเข้าเทรด

4. การพุ่งทะลุหลอกและการทดสอบซ้ำ

ไม่ใช่ทุกครั้งที่การพุ่งทะลุออกจาก Descending Channel จะดำเนินต่อเนื่องทันที การพุ่งทะลุหลอกหรือเกิดก่อนเวลาเป็นเรื่องปกติ ราคาพุ่งออกนอกช่องสัญญาณแล้วร่วงกลับเข้ามา

วิธีจัดการที่ใช้ได้จริงคือ รอให้มีการทดสอบซ้ำก่อนเข้าเทรด

  • หากราคาพุ่งทะลุเหนือช่องสัญญาณ ให้รอการปรับตัวกลับลงมาเพื่อยืนยันว่าระดับแนวต้านเดิมกลายเป็นแนวรับใหม่ก่อนที่จะเข้าซื้อ

  • หากราคามีการพุ่งทะลุลงต่ำกว่าช่องสัญญาณ ให้รอการปรับตัวกลับขึ้นมายังแนวรับที่ถูกทำลายไป หากแนวรับนั้นกลายเป็นแนวต้าน การเข้าขายก็จะปลอดภัยกว่า

  • การยกเลิก: หากราคากลับเข้ามาและปิดอยู่ภายในช่องสัญญาณอีกครั้ง ให้พิจารณาว่าการพุ่งทะลุนั้นล้มเหลวและถอยออกมา

แผนการทดสอบซ้ำนี้ช่วยกรองสัญญาณเท็จและให้ระดับที่ชัดเจนสำหรับการหยุดและยกเลิก ทำให้ลดความเสี่ยงของการติดกับดัก

กรณีศึกษา: วิธีการเทรดใน Descending Channel

ตัวอย่างที่ 1 — การร่วงต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง

ตัวอย่างที่ 1 — การร่วงต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง

ในกราฟรายวันของ GBPUSD นี้ ราคาได้เคลื่อนไหวอยู่ภายใน Descending Channel เป็นเวลาหลายเดือน

  • จุดเข้า: หลังจากที่ราคาปิดต่ำกว่าขอบเขตด้านล่างของช่องสัญญาณ

  • Stop Loss: เหนือจุดสูงสุดล่าสุดเล็กน้อย

  • เป้าหมาย: เท่ากับความสูงของช่องสัญญาณ (ประมาณการเคลื่อนไหว 4.3%)

  • ผลลัพธ์: เป็นแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ชัดเจน, การพุ่งทะลุตามตำรา

ตัวอย่างที่ 2 — การเข้าเทรดซ้ำภายในช่องสัญญาณ

ในกราฟ USDCHF 4H ราคาเด้งขึ้นเหนือแนวต้านของ Channel ชั่วคราวก่อนกลับเข้ามาภายในช่องสัญญาณ

ตัวอย่างที่ 2 — การเข้าเทรดซ้ำภายในช่องสัญญาณ

  • จุดเข้า: หลังแท่งเทียนปิดกลับเข้าภายใน Channel (พุ่งทะลุหลอก)

  • Stop Loss: วางเหนือครั้งล่าสุดที่ราคาสัมผัสขอบบน (~0.8104)

  • เป้าหมาย: ขอบเขตด้านล่าง ใกล้ 0.7915

  • ผลลัพธ์: เป็นการขายชอร์ตที่ชัดเจน พร้อมจุด Stop ที่สมเหตุสมผล การเทรดนี้อาศัยการเคลื่อนไหวจากการกลับเข้าสู่ระดับแนวต้านลงไปยังแนวรับ

การยืนยันร่วมกันระหว่างตัวชี้วัดและปริมาณ

Descending Channel จะเชื่อถือได้มากขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาสอดคล้องกับสิ่งที่ตัวชี้วัดแสดง การรวมกันระหว่างตัวชี้วัดและข้อมูลปริมาณการซื้อขายช่วยให้เห็นความน่าเชื่อถือของรูปแบบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

1. การยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย

ปริมาณแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของตลาด เมื่อราคาพุ่งทะลุออกจากช่องแนวโน้มขาลง ให้ตรวจสอบแท่งปริมาณการซื้อขาย ปริมาณที่เพิ่มขึ้นระหว่างการพุ่งทะลุแนวต้านช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ นั่นหมายความว่า มีเทรดเดอร์เข้าร่วมมากขึ้น ซึ่งมักยืนยันการเคลื่อนไหว ปริมาณต่ำหรือลดลงบ่งชี้ถึงการพุ่งทะลุที่อ่อนแอซึ่งอาจล้มเหลวในไม่ช้า ภายในช่องสัญญาณ ปริมาณมักจะหดตัวลงเมื่อราคาอยู่ในช่วงสะสมตัว จากนั้นจะขยายตัวเมื่อแนวโน้มใหม่เริ่มต้นขึ้น โดยสรุป การขยายตัวของปริมาณเป็นสัญญาณที่ดี และการหดตัวของปริมาณเป็นสัญญาณเตือน

2. การสอดคล้องของ RSI และโมเมนตัม

ตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI หรือ Stochastic Oscillator ช่วยให้คุณเห็นว่าการเคลื่อนไหวของราคาสนับสนุนสิ่งที่กราฟแสดงอยู่หรือไม่ เมื่อ RSI ร่วงลงสู่เขตขายมากเกินไปใกล้ขอบเขตช่องสัญญาณด้านล่าง อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้ขายกำลังสูญเสียความแข็งแกร่งและอาจมีการดีดตัวขึ้น หาก RSI อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีการปรับตัวลงครั้งใหม่เกิดขึ้น เมื่อราคาทะลุแนวต้าน ให้มองหา RSI ที่ตัดขึ้นเหนือ 50 หรือเส้น Stochastic ที่เปลี่ยนทิศทางขึ้นพร้อมกัน การสอดคล้องกันนั้นสามารถยืนยันการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมที่แท้จริงได้

3. ไดเวอร์เจนซ์ (Divergence)

ไดเวอร์เจนซ์หรือความแตกต่างระหว่างราคาและโมเมนตัมเป็นอีกหนึ่งเบาะแส Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ต่ำลง แต่ RSI หรือ MACD กลับทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่า นั่นอาจบ่งชี้ถึงแรงกดดันขาลงที่อ่อนตัวลงและอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น Bearish divergence คือสิ่งที่ตรงกันข้าม ราคาสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดไม่ยืนยันสิ่งนี้ สิ่งนี้มักเกิดขึ้นก่อนการทะลุที่ไม่สำเร็จหรือการร่วงลงที่ลึกยิ่งขึ้น

4. การทำงานร่วมกันระหว่าง MACD และปริมาณการซื้อขาย

ตัวชี้วัด MACD ทำงานได้ดีกับการวิเคราะห์ปริมาณ เมื่อทั้งแท่งฮิสโตแกรม MACD และปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นพร้อมกันในระหว่างการพุ่งทะลุแนวต้าน แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่งและทิศทางที่คงที่ หาก MACD ตัดข้ามเส้นสัญญาณขึ้นไปในขณะที่ปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้น โอกาสในการทะลุแนวรับหรือแนวต้านอย่างมีนัยสำคัญจะเพิ่มขึ้น

5. การรวมสัญญาณหลายตัว

การตั้งค่าเทรดที่ดีมักมีการยืนยันหลายอย่าง

- การพุ่งทะลุขึ้นเหนือแนวต้าน

- ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

- ค่า RSI ข้ามขึ้นเหนือ 50

- MACD เปลี่ยนเป็นค่าบวก

เมื่อมีอย่างน้อยสองหรือสามสัญญาณที่สอดคล้องกัน การตั้งค่าการเทรดจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น การรอก่อนก็อาจจะดีกว่า การสอดคล้องกันอย่างแข็งแกร่งระหว่างตัวชี้วัดและการเคลื่อนไหวของราคาทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการเทรดที่มีความน่าเป็นไปได้สูงมากขึ้นและลดการคาดเดาลง การตั้งค่าเทรดที่ดีที่สุดคือไม่ฝืนและไม่บังคับ หากตัวชี้วัดไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ราคาแสดงอยู่ ให้รอดูไปก่อน เพราะเดี๋ยวก็มีโอกาสที่ชัดเจนกว่านี้เกิดขึ้นเสมอ

บริบทหลายกรอบเวลา

คุณสามารถสังเกต Descending Channel ได้บนกราฟทุกประเภท แต่จะมีความหมายมากขึ้นเมื่อสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนกรอบเวลาที่สูงกว่า เริ่มวิเคราะห์จากกรอบเวลาสูงสุดก่อนแล้วค่อยลงไปยังกรอบเวลาต่ำกว่า

1. ตรวจสอบกรอบเวลาที่สูงขึ้น (กราฟรายวันหรือกราฟ 4 ชั่วโมง)

นี่คือการค้นหาแนวโน้มหลัก หากกราฟที่สูงกว่ามีแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน ช่องสัญญาณแนวโน้มขาลง (Descending Channel) บนกรอบเวลาที่ต่ำกว่า (เช่น 1 ชั่วโมง หรือ 15 นาที) มักจะทำหน้าที่เป็นรูปแบบต่อเนื่อง

2. ย้ายมาที่กรอบเวลาที่คุณเทรด

เมื่อคุณทราบแนวโน้มใหญ่แล้ว ให้หาการก่อตัวของ Descending Channel ภายในแนวโน้มนั้น เมื่อคุณเทรดในทิศทางเดียวกับแนวโน้มของกรอบเวลาที่สูงกว่า การตั้งค่าของคุณมักจะมีสัญญาณเท็จน้อยลงและมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

3. ปรับจุดเข้าเทรดบนกรอบเวลาต่ำ

เมื่อราคาเข้าใกล้เส้นของช่องสัญญาณหรือเริ่มพุ่งทะลุออก ให้ซูมเข้าที่กรอบเวลาที่ต่ำกว่าเพื่อปรับจุดเข้าของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณสังเกตเห็นการทะลุแนวต้านบนกราฟ 1 ชั่วโมง คุณสามารถเปลี่ยนไปดูกราฟ 15 นาทีเพื่อหาจุดเข้าที่ดีกว่า

4. ระวังช่องสัญญาณที่สวนทางกับแนวโน้ม

บางครั้ง Descending Channel บนกรอบเวลาต่ำเคลื่อนไหวสวนกับแนวโน้มใหญ่ ในกรณีนั้น มักจะเป็นการดึงกลับภายในแนวโน้มขาขึ้นของกรอบเวลาที่สูงกว่า มากกว่าการเป็นแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่แท้จริง ช่องสัญญาณที่สวนทางกับแนวโน้มเหล่านี้สามารถเสนอโอกาสในการซื้อได้หากแนวโน้มใหญ่ยังคงแข็งแกร่ง

แนวทางจากบนลงล่างนี้ช่วยให้คุณทำการเทรดตามกระแสของตลาดโดยรวม แทนที่จะสวนทางกับมัน ช่องสัญญาณที่สอดคล้องกันในหลายกรอบเวลาจะมีน้ำหนักมากกว่า ในขณะที่ช่องสัญญาณที่วิ่งสวนทางกับแนวโน้มหลักอาจเพียงแค่บ่งชี้ถึงการปรับฐานระยะสั้นเท่านั้น

การบริหารความเสี่ยงสำหรับการเทรดในช่องสัญญาณ

ไม่ว่าลักษณะของรูปแบบจะดูดีเพียงใด Descending Channel ก็ยังสามารถหลอกเทรดเดอร์ด้วยการพุ่งทะลุหลอกและการพุ่งขึ้นอย่างฉับพลันได้

การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่เลือกได้ มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเทรดด้วยรูปแบบนี้

นี่คือวิธีการปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ในการควบคุมความเสี่ยงเมื่อทำงานกับช่องสัญญาณต่าง ๆ

1. การวางจุด Stop โดยใช้ ATR

แทนที่จะเดาว่าจะวางจุดหยุดที่ไหน คุณสามารถใช้ค่าเฉลี่ยความผันผวนที่แท้จริง (ATR) เพื่อกำหนดขนาดของจุดหยุดตามความผันผวนได้ ATR บอกคุณว่าราคาโดยทั่วไปจะเคลื่อนไหวมากเพียงใดในช่วงเวลาที่กำหนด

  • หากคุณกำลังเทรดด้วยการพุ่งทะลุแนวรับ/แนวต้าน ให้วางจุดตัดขาดทุนไว้ที่อย่างน้อย 1 ถึง 1.5 เท่าของค่า ATR จากแท่งเทียนที่พุ่งทะลุ หรือเส้นด้านล่างช่องสัญญาณ

  • สำหรับการพุ่งทะลุขาลง ให้ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ที่ 1 ถึง 1.5 ATR เหนือแท่งเทียนที่ทะลุหรือเหนือเส้นขอบบนของช่อง

ด้วยวิธีนี้ ความผันผวนของราคาตามปกติจะไม่ทำให้คุณออกจากตลาด แต่คุณยังคงได้รับการคุ้มครองหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่คุณไม่ต้องการ

2. สูตรกำหนดขนาดสถานะ

เมื่อคุณทราบระยะหยุดขาดทุนของคุณเป็นจำนวน pip (หรือจุด) แล้ว ให้คำนวณขนาดสถานะของคุณเพื่อให้การเทรดแต่ละครั้งไม่เสี่ยงเกินกว่าสัดส่วนเล็ก ๆ ของบัญชีของคุณ โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 1 หรือ 2% ต่อหนึ่งคำสั่งซื้อขาย

  • ตัวอย่าง: คุณมีบัญชี $10,000 และต้องการเสี่ยง 1% ($100) จุดหยุดของคุณอยู่ห่างออกไป 50 pip โดยมีค่า $1 ต่อ pip คุณจะได้ขนาดสถานะดังนี้: 100 ÷ (50 x 1) = 2 ล็อตมินิ

สิ่งนี้ทำให้ความเสี่ยงคงที่ไม่ว่าช่องสัญญาณจะกว้างหรือแคบเพียงใดก็ตาม

3. ความเสี่ยง/ผลตอบแทน

ก่อนทำการซื้อขายใด ๆ ให้วางแผนผลตอบแทนที่อาจได้รับเทียบกับความเสี่ยงของคุณ ช่องสัญญาณทำให้สิ่งนี้ง่ายขึ้นเพราะความสูงของมันสามารถทำหน้าที่เป็นมาตรวัดได้

  • การเทรดแบบพุ่งทะลุ: วัดความสูงของ Channel แล้วโปรเจกต์ขึ้นเหนือ (สำหรับ bullish) หรือด้านล่าง (สำหรับ bearish) จากจุดที่เกิดการพุ่งทะลุ

  • การเทรดในกรอบ: ตั้งเป้าหมายที่เส้นขอบตรงข้ามของช่องสัญญาณ พร้อมวาง Stop Loss เล็กน้อยเกินกว่ากราฟแนวโน้มที่ใกล้ที่สุด

ตั้งเป้าหมายให้มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงอย่างน้อย 1.5:1 หรือ 2:1 หากการตั้งค่าการเทรดไม่สามารถให้สิ่งนี้ได้ ก็ข้ามการเทรดนั้นไป

4. ปรับตัวตามสภาพตลาด

ตลาดที่ผันผวนอาจต้องการการหยุดขาดทุนแบบ ATR ที่กว้างขึ้นและขนาดสถานะที่เล็กลง ในตลาดที่สงบกว่า สามารถใช้จุดตัดขาดทุนที่แคบลงและขนาดการซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นได้ ปรับพารามิเตอร์ความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ แทนที่จะบังคับใช้ระบบเดียวแบบตายตัว

วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณเสี่ยงเกินไป การวางจุดหยุดตาม ATR ช่วยปกป้องคุณจากสัญญาณรบกวน การกำหนดขนาดสถานะช่วยให้การขาดทุนคงที่ และการวางแผนความเสี่ยง/ผลตอบแทน ช่วยให้คำนวณกำไรและความเสี่ยงของการเทรดเป็นไปอย่างเหมาะสม

ข้อดีและข้อเสียของรูปแบบ Descending Channel

Descending Channel เป็นเครื่องมือที่น่าประยุกต์ใช้ ด้วยเหตุผลดังนี้

  • เมื่อเส้นแนวโน้มถูกวาดขึ้นแล้ว ก็สามารถสังเกตได้ง่าย

  • ให้หลายโอกาสการเทรดทั้งภายในช่องสัญญาณและการพุ่งทะลุ

  • ใช้ได้กับทุกตลาด เช่น Forex, หุ้น, คริปโต ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม แต่ละรูปแบบก็มีข้อเสียของตัวเอง โปรดทราบข้อเสียเหล่านี้

  • ไม่ใช่ทุกการพุ่งทะลุครั้งที่จะเป็นสัญญาณจริง Descending Channel มีแนวโน้มทีจะให้สัญญาณเท็จหากการยืนยันไม่แข็งแรง ดังนั้นไม่ควรรีบเข้าเทรดโดยยังไม่แน่ใจว่ามันเป็น bullish flag จริง ๆ

  • ต้องวาดเส้นแนวโน้มอย่างแม่นยำ หากไม่เช่นนั้นอาจนำไปสู่คำสั่งซื้อขายที่ผิดพลาด

  • ตลาดที่เคลื่อนไหวในแนวข้างหรือไซด์เวย์อาจมีความซับซ้อน ดังนั้นรูปแบบอาจให้ผลลัพธ์ต่ำกว่าปกติในสภาพคล่องหรือปริมาณการซื้อขายที่ต่ำ

ข้อดีและข้อเสียของรูปแบบ Descending Channel

ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง

แม้แต่นักลงทุนมืออาชีพก็อาจทำผิดพลาดได้เมื่อเทรดใน Descending Channel แต่คุณสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้ด้วยคำแนะนำสั้น ๆ นี้จาก FBS

  1. อย่าเพิ่งเข้าเทรดหากยังไม่มีสัญญาณยืนยัน รอให้แท่งเทียนปิด ปริมาณการซื้อขายพุ่งขึ้น หรือมีสัญญาณจากตัวชี้วัดเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าเทรดตามสัญญาณทะลุหลอก

  2. อย่ามองข้ามการยืนยันจากปริมาณการซื้อขายหรือสัญญาณจากตัวชี้วัด เครื่องมือเหล่านี้สามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการพุ่งทะลุที่อาจเกิดขึ้นได้

  3. อย่าละเลยการจัดการความเสี่ยง ใช้คำสั่ง Stop Loss และตั้งเป้าหมายกำไรที่สมจริง การเทรดในช่วงที่ราคาทะลุแนวโน้มหรือภายในช่องสัญญาณโดยไม่คำนึงถึงระดับความเสี่ยงนั้นเป็นวิธีที่ทำให้เสียเงินทุนได้อย่างแน่นอน

FBS คือโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ที่จะนำทางคุณผ่านทุกขั้นตอนของการเทรด เทรดกับเราตอนนี้เลย

สรุปสาระสำคัญ

  • Descending Channel เกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาลง ราคาขยับต่ำลงในขณะที่อยู่ระหว่างเส้นขนานสองเส้นที่ลาดเอียงลง แนวต้านที่เส้นบนและแนวรับที่เส้นล่าง

  • รูปแบบนี้ประกอบด้วยสามส่วน: เส้นบนแสดงจุดสูงสุดที่ต่ำลง เส้นล่างแสดงจุดต่ำสุดที่ต่ำลง และการเคลื่อนไหวของราคาภายในช่องสัญญาณ

  • เทรดเดอร์ใช้สิ่งนี้เพื่อเลือกจุดเข้าและออกสำหรับการเทรด คุณสามารถขายใกล้แนวต้าน หรือรอการพุ่งทะลุที่อาจจะบ่งบอกถึงการกลับตัว

  • รูปแบบนี้ไม่ได้เชื่อถือได้เสมอไป เมื่อตลาดเคลื่อนไหวในแนวด้านข้าง อาจให้สัญญาณเท็จได้ โปรดจำไว้ด้วยว่าแนวโน้มที่แข็งแกร่งอาจสูญเสียโมเมนตัมได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Descending Channel เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้หรือไม่?

มันสามารถเชื่อถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเวลาที่สูงขึ้น เช่น กราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ ในหลายกรณี รูปแบบแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มขาลงยังคงควบคุมอยู่ แต่ไม่มีการตั้งค่าการเทรดใดที่สมบูรณ์แบบ การพุ่งทะลุอาจล้มเหลว ดังนั้นคุณควรรอการยืนยันก่อนที่จะเข้าสู่การเทรด

กรอบเวลาใดที่เหมาะสมที่สุด?

คุณจะเห็น Descending Channel ในกราฟทุกประเภท ตั้งแต่แท่งเทียนห้านาทีไปจนถึงรายสัปดาห์ กรอบเวลาสั้นทำให้คุณมีโอกาสเทรดมากกว่า แต่มีสัญญาณรบกวนและสัญญาณเท็จมากกว่า กรอบเวลาที่ยาวกว่ามักจะให้ช่องสัญญาณที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ฉันสามารถใช้ RSI หรือ Stochastics กับรูปแบบนี้ได้ไหม?

ใช่ สิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มความมั่นใจในการเทรดของคุณได้ ตัวอย่างเช่น หาก RSI แสดงว่าตลาดอยู่ในภาวะขายมากเกินไปในขณะที่ราคาสัมผัสเส้นขอบล่างของช่องสัญญาณ นั่นจะสนับสนุนโอกาสที่ราคาจะดีดตัวกลับ หากโมเมนตัมเพิ่มขึ้นเมื่อราคาพุ่งทะลุ มันบ่งชี้ว่าการเคลื่อนไหวเป็นของจริง

รูปแบบนี้หมายถึงการต่อเนื่องเสมอหรือไม่?

ไม่เสมอไป แนวโน้มส่วนใหญ่ยังคงเป็นขาลง แต่บางครั้งราคาพุ่งทะลุเหนือแนวต้านและเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่ ควรมองภาพรวมใหญ่เสมอ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่ ควรมองภาพรวมใหญ่เสมอ

อภิธานศัพท์

เส้นแนวโน้ม: เส้นที่ลากบนกราฟ เชื่อมต่อจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด มันแสดงทิศทางที่ราคาเคลื่อนไหวอยู่

แนวรับ: ระดับราคาที่การขายชะลอตัวลงและผู้ซื้อมักจะเข้ามาซื้อ

แนวต้าน: ระดับราคาที่การซื้อหมดแรงและผู้ขายดันราคาลง

การพุ่งทะลุ: เมื่อราคาพุ่งออกจากขอบเขตของรูปแบบด้วยแรงที่แข็งแกร่ง

รูปแบบต่อเนื่อง: รูปแบบที่มักบ่งชี้ว่าแนวโน้มจะยังคงเคลื่อนตัวต่อไปในทิศทางเดิม

รูปแบบการกลับตัว: รูปแบบที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มอาจอ่อนแรงและราคาอาจเคลื่อนในทิศทางตรงข้าม

RSI (Relative Strength Index): ตัวชี้วัดความแข็งแรงของโมเมนตัมซื้อขาย และบอกคุณว่าราคาสูงหรือต่ำเกินไป เทรดเดอร์ใช้เพื่อตรวจสอบเมื่อตลาดดูเหมือนว่ามีการซื้อมากเกินไปหรือการขายมากเกินไป

Stochastic Oscillator: เครื่องมือที่เปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาล่าสุด มักใช้ในการตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นที่อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวที่กำลังจะเกิดขึ้น

ATR (Average True Range): ตัวชี้วัดการเคลื่อนตัวเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เทรดเดอร์มักจะใช้เพื่อวางจุด Stop Loss เพื่อที่จะได้ไม่โดนแรงแกว่งปกติทำให้พวกเขาออกจากการเทรด

การพุ่งทะลุหลอก: เมื่อราคาพุ่งทะลุรูปแบบหนึ่งออกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่กลับเข้ามาในกรอบเดิมอย่างรวดเร็ว มักทำให้ผู้ที่เข้าซื้อหรือขายเร็วเกินไปติดกับดัก

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

FBS ณ สื่อสังคมออนไลน์

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon

ติดต่อเรา

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
Google Play
store iconstore icon
ดาวน์โหลด MT4 บน
App Store
store iconstore icon
ดาวน์โหลด MT5 บน
App Store

การซื้อขาย

บริษัท

เกี่ยวกับ FBS

ผลกระทบต่อสังคมของเรา

เอกสารทางกฎหมาย

ข่าวเกี่ยวกับบริษัท

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

ศูนย์ช่วยเหลือ

โปรแกรมพันธมิตร

เว็บไซต์นี้ดำเนินการโดย FBS Markets Inc. หมายเลขจดทะเบียน 000001317 ซึ่ง FBS Markets Inc. ได้รับการจดทะเบียนโดย Financial Services Commission ภายใต้พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯ 2021 (Securities Industry Act 2021) ใบอนุญาตเลขที่ 000102/31 ที่อยู่สำนักงาน: The Bentley, #16 Cor A Street & Princess Margaret Drive, Belize City, Belize

FBS Markets Inc. ไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตอำนาจศาลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, อิสราเอล, อินเดีย, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และเมียนมาร์

ธุรกรรมการชำระเงินได้รับการจัดการโดย HDC Technologies Ltd.; Registration No. HE 370778; Legal address: Arch. Makariou III & Vyronos, P. Lordos Center, Block B, Office 203, Limassol, Cyprus ที่อยู่เพิ่มเติม: Office 267, Irene Court, Corner Rigenas and 28th October street, Agia Triada, 3035, Limassol, Cyprus

เบอร์ติดต่อ: +357 22 010970 เบอร์ติดต่อเพิ่มเติม: +501 611 0594

สำหรับความร่วมมือ กรุณาติดต่อเราผ่าน [email protected]

คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินและการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้นอย่างถ่องแท้ และคุณควรตระหนักถึงระดับประสบการณ์ของตนเอง

การคัดลอก การทำสำเนา การเผยแพร่ รวมถึงแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเนื้อหาใดๆ จากเว็บไซต์นี้สามารถดำเนินการได้เฉพาะเมื่อได้รับการอนุญาตที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การชี้แนะ หรือการชักชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น