ระยะต่าง ๆ ของแนวโน้ม
สิ่งสำคัญถัดไปคือ ทุกแนวโน้มประกอบด้วย 4 ระยะหลัก ๆ:
แนวโน้มใหม่เพิ่งก่อตัว (Young trend)
แนวโน้มแข็งแกร่งและชัดเจน (Mature trend)
แนวโน้มเริ่มอ่อนแรง (Aging trend)
แนวโน้มเปลี่ยนทิศทาง (Reversing trend)
ถ้าแนวดน้มมันหมดยุคแล้ว จะไปเทรดมันก็เสียเวลา เราควรจับแนวโน้มตอนมันเพิ่งเริ่ม หรือกำลังมาแรง ถึงจะทำกำไรได้เต็ม ๆ

คุณควรมองหาระยะ 2 ในจุดนี้ คุณจะสามารถลากเส้นแนวโน้มได้ สำหรับแนวโน้มขึ้น คุณจะต้องมีจุดต่ำสุดอย่างน้อย 2 จุด - จุดต่ำสุดเริ่มต้นและจุดต่ำสุดที่สูงกว่า หากคุณมีจุดต่ำสุด 3 จุดเพื่อเชื่อมต่อ นั่นยิ่งดีกว่า - มันหมายความว่าแนวโน้มได้ก่อตัวขึ้นจริง ๆ เส้นแนวโน้มจะกลายเป็นเส้นแนวรับ สำหรับแนวโน้มลง คุณจะต้องมีจุดสูงสุดอย่างน้อย 2 จุด - จุดสูงสุดแรกและจุดสูงสุดที่สองที่ต่ำกว่า เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ การเชื่อมจุดสูงสุด 3 จุดจะดีกว่า ในกรณีนั้น เส้นแนวโน้มจะกลายเป็นเส้นแนวต้าน

การไม่ละเลยหรือขี้เกียจในการวาดเส้นแนวโน้มเป็นสิ่งสำคัญมาก เส้นเหล่านี้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์กราฟที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ไม่เพียงช่วยระบุจุดที่ราคาอาจกระดอนจากแนวรับหรือแนวต้านเท่านั้น แต่ยังแสดงความแข็งแกร่งของแนวโน้มอีกด้วย จำหลักการนี้ไว้: เส้นแนวโน้มที่ชันมาก ยิ่งมีโอกาสที่ราคาจะทะลุผ่าน หากราคาพุ่งขึ้นเร็วเกินไป ผู้ซื้อที่ผลักดันราคาขึ้นจะหมดแรงในไม่ช้า และตลาดจะกลับทิศทาง หากคุณต้องการเลือกแนวโน้มที่ดีที่ยั่งยืนพอสมควร ให้เลือกแนวโน้มที่มีเส้นแนวโน้มที่ไม่ชันเกินไป
เรายังแนะนำให้สังเกตการปรับฐานและการสะสมราคาที่เกิดขึ้นระหว่างแนวโน้ม ดังที่เห็น แม้ราคาจะมีแนวโน้มขึ้นหรือลง แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงตลอดเวลา การปรับฐานคือช่วงที่คู่สกุลเงินถอยกลับทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลัก ส่วนการสะสมราคาคือช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ในแนวนอน
หากช่วงการเคลื่อนที่สวนแนวโน้ม(การปรับฐาน) สั้นลง และกรอบการเคลื่อนที่ออกข้าง(การสะสมราคา) แคบลง นั่นแสดงว่าคุณพบแนวโน้มที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือที่สามารถเทรดได้อย่างปลอดภัย

ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค
ใน MT4 มีกลุ่มตัวบ่งชี้ที่เรียกว่า "ตัวบ่งชี้แนวโน้ม" ซึ่งช่วยให้คุณติดตามแนวโน้มได้
Moving average จะช่วยระบุแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง และทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้าน เราแนะนำให้ใช้เส้น simple moving averages (SMA) พร้อมตั้งค่าช่วงเวลาที่ 20, 50, 100 และ 200
ADX แสดงทิศทางและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ค่าที่สูงกว่า 30 บ่งชี้ว่าแนวโน้มมีความแข็งแกร่ง ข้อควรระวังคือตัวบ่งชี้นี้ค่อนข้างช้า
เทรดเดอร์ยังสามารถใช้ออสซิลเลเตอร์ (ตัวบ่งชี้ที่แกว่งรอบค่ากลางและแสดงในหน้าต่างแยกใต้กราฟราคา) ได้ หลังจากที่คุณกำหนดทิศทางแนวโน้มโดยใช้เส้นแนวโน้มหรือเส้น moving averages แล้ว ให้ตรวจสอบ Stochastic oscillator ในแนวโน้มขาขึ้น เส้น Stochastic ควรมีความชันขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนในแนวโน้มขาลง เส้น Stochastic ควรลาดเอียงลงอย่างชัดเจน หากราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ Stochastic ไม่ทำตาม นี่อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวลง

คุณสามารถได้รับข้อมูลคล้ายกับที่ให้โดยตัวบ่งชี้ Stochastic จากออสซิลเลเตอร์อีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า MACD ความแตกต่างคือ MACD จะมาในรูปแบบของฮิสโตแกรม (แท่งใต้กราฟราคา) ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น แท่ง MACD ควรจะใหญ่ขึ้น ในขณะที่ในช่วงขาลงพวกมันควรจะลดลงและเข้าสู่พื้นที่ลบ
กลยุทธ์การเทรดโดยใช้แนวโน้ม
วิธีที่ดีที่สุดคือการเดินตามตลาด ขั้นตอนที่แนะนำมีดังนี้:
กำหนดระยะเวลาที่คุณต้องการอยู่ในแนวโน้ม การตัดสินใจนี้จะส่งผลต่อกรอบเวลาที่คุณเลือกสำหรับการเทรด หากคุณตัดสินใจเทรดภายในวัน (คือถือคำสั่งเพียงไม่กี่ชั่วโมง) ให้กำหนดแนวโน้มบนกรอบเวลารายวัน นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้กราฟ H4 และ H1 เพื่อวางแผนการเทรดได้ เราไม่แนะนำให้เสียเวลากับกรอบเวลาเล็ก ๆ เช่น M15 เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปสำหรับการวิเคราะห์ที่ดีให้กับคำสั่งซื้อขายที่จะเปิดไว้หลายชั่วโมง
ระบุแนวโน้ม — เป็นขาขึ้นหรือขาลง? ตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจและการวิเคราะห์ พยายามเข้าใจว่าปัจจัยพื้นฐาน (ทางเศรษฐกิจ) หรือข่าวใดที่อยู่เบื้องหลังแนวโน้มนี้ เป็นไปได้ไหมที่ตลาดกำลังคาดการณ์เหตุการณ์สำคัญ? หรืออาจมีบางอย่างเกิดขึ้นแล้วและกำลังส่งผลกระทบต่อตลาด? หากตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น คุณสามารถเข้าซื้อในช่วงขาขึ้น หากตลาดมีแนวโน้มขาลง คุณสามารถเปิดขายในช่วงขาลง
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นเหล่านี้ชันหรือปกติ? ราคาได้ทดสอบเส้นแนวโน้มไปกี่ครั้งแล้ว? หากราคาสัมผัสเส้นแนวรับเป็นครั้งที่สามในขาขึ้นและดึงกลับในช่วงขาขึ้น นี่เป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ
ตรวจสอบตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เพื่อให้แน่ใจว่ามันยืนยันแนวโน้ม
กำหนดระยะของแนวโน้ม การเทรดในช่วงเริ่มต้นหรือตอนสิ้นสุดแนวโน้มนั้นมีความเสี่ยง ควรเลือกแนวโน้มที่มีความแข็งแกร่งอย่างชัดเจน
วางคำสั่ง limit ใกล้เส้นแนวโน้ม ในขาขึ้น ให้วางคำสั่ง buy limit ที่เส้นแนวรับ ส่วนในขาลง ให้วางคำสั่ง sell limit ใกล้เส้นแนวต้าน
ตั้ง stop-loss ป้องกันไว้ที่อีกฝั่งของเส้นแนวโน้ม stop-loss ของคุณไม่ควรแคบเกินไปจนทำให้คำสั่งซื้อขายถูกปิดเพียงเพราะความผันผวนประจำวัน ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับการเลือก stop-loss ขึ้นอยู่กับว่าคุณวางแผนจะถือคำสั่งซื้อขายไว้นานแค่ไหน (คุณต้องรู้จุดที่จะปิดคำสั่งซื้อขายด้วยกำไร) และขนาดคำสั่งซื้อขายของคุณ โดยทั่วไป stop-loss ควรอยู่ที่ประมาณ 1/3 ของ take-profit สรุปแล้ว สำหรับการเทรดภายในวันที่เปิดไว้หลายชั่วโมง ควรตั้ง stop-loss ให้มากกว่า 15 pip
