เปิดบัญชี
เปิดบัญชีล็อกอิน
เปิดบัญชี

28 ต.ค. 2025

กลยุทธ์

กลยุทธ์การเทรดแบบเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด

ในบทเรียนนี้
เบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาดคืออะไร?การใช้ ORB ในตลาดต่าง ๆประวัติของ ORBขนาดการเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาดกลยุทธ์การเทรด ORBข้อผิดพลาดทั่วไปและการแก้ไขการทดสอบย้อนหลังและความคาดหวังคำถามที่พบบ่อย: การเทรดแบบเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาดอธิบายคำศัพท์ ORB

กลยุทธ์การเทรดแบบเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด

กลยุทธ์การเทรดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไร เพราะมันช่วยให้การตัดสินใจซื้อขายมีความสม่ำเสมอและมีหลักการ วันนี้เราจะมาพูดถึงหนึ่งในรูปแบบกราฟที่สำคัญที่สุด ทั้งสำหรับการกลับตัวและการต่อเนื่องของแนวโน้มในตลาดหุ้น — นั่นคือ การเทรดแบบเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด หรือ Opening Range Breakouts (ORB) เราจะพาคุณไปย้อนดูประวัติของกลยุทธ์การเทรดด้วยรูปแบบนี้ ยกตัวอย่าง และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์หลายประการ มาดูกันเลย!

เบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาดคืออะไร?

Opening Range Breakout (ORB) หรือ เบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด คือรูปแบบการเทรดที่เราจะทำเครื่องหมายจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคาช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังจากตลาดเปิด (โดยทั่วไปใช้ 15 นาทีแรก)

เมื่อมีการเบรกเอาต์หรือพุ่งทะลุออกไปจากระดับใดระดับหนึ่ง (สูงสุดหรือต่ำสุด) ก็เป็นสัญญาณบอกว่าอาจมีโอกาสเทรดในทิศทางของแรงโมเมนตัมนั้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำหนดและทำการเทรดช่วงเวลาเปิดตลาด 15 นาทีแรกของหุ้น Apple คุณกำลังประเมินช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดของ APPLE ตั้งแต่ตลาดเปิดจนถึง 15 นาทีถัดมา ภายในช่วงเปิดนี้ ระดับที่สำคัญที่สุดสองระดับที่คุณควรจับตามองคือราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดภายใน 15 นาทีแรก ดูที่รูปเพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น

image_01.jpg

ตรงนี้คุณจะเห็นว่าเซสชันการซื้อขายเริ่มต้นด้วยช่องว่างของราคา ช่วง 15 นาทีต้องถูกกำหนดบนแท่งเทียน 15 นาที เมื่อกําหนดช่วงแล้ว เทรดเดอร์สามารถเปลี่ยนไปใช้กรอบเวลาที่ต่ำกว่า (1-5 นาที) เพื่อปรับแต่งจุดเข้าและจุดหยุด หลังจากที่ราคาได้สร้างช่วงเปิดตลาดแล้ว เราสามารถมองหาจุดเข้าในเบรกเอาต์ได้

การวิเคราะห์ ORB มักจะทำงานได้ผลดีที่สุดในตลาดที่มีเวลาเปิดและปิดที่ชัดเจน เช่น หุ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการเวลา 09:30 น. ตามเวลาตะวันออก (ET) ซึ่งตรงกับเวลา 15:30 น. ในหลายประเทศของยุโรป

โปรดจำไว้ว่า สหรัฐฯ จะปรับเวลา 2 ครั้งต่อปี โดยขยับเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงในฤดูใบไม้ผลิ และช้าลง 1 ชั่วโมงในฤดูใบไม้ร่วง วันที่เปลี่ยนเวลาในแต่ละปีไม่เหมือนกัน จึงควรตรวจสอบเวลาให้แน่ใจเสมอว่าขณะนี้ที่สหรัฐฯ เป็นเวลาใด

เวลาทำการตลาด & เขตเวลา

การเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด (Opening Range Breakouts) อิงจากช่วงเวลา 15 ถึง 30 นาทีแรกหลังตลาดเปิดอย่างเป็นทางการ สำหรับหุ้นสหรัฐฯ คือ 09:30 น. ตามเวลาตะวันออก (ET)

  • เวลาออมแสง (DST): ET สลับระหว่าง EST (UTC-5, ฤดูหนาว) และ EDT (UTC-4, ฤดูร้อน) โปรดตรวจสอบให้แน่ใจเสมอเมื่อทำการเทรดจากต่างประเทศ

  • การแปลงเวลา: 09:30 น. ตามเวลา ET คือ 14:30/13:30 น. ตามเวลา UTC ขึ้นอยู่กับเวลาออมแสง (DST)

  • ตลาดอื่น ๆ: ใช้หลักการเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเปิดทำการเวลา 08:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และแฟรงค์เฟิร์ตเปิดเวลา 09:00 น. เป็นต้น

ควรใช้เวลาเปิดอย่างเป็นทางการของตลาดนั้น ๆ เสมอ การใช้เขตเวลาผิดจะทำให้ค่าช่วงเปิดตลาดไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง

การใช้ ORB ในตลาดต่าง ๆ

การเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด (ORB) นำไปง่ายที่สุดเมื่อทำการเทรดหุ้น เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเปิดตลาดที่เวลา 09:30 น. ตามเวลา ET ซึ่งเป็นเวลาที่แน่นอน แต่เทรดเดอร์ก็ใช้กับ ฟิวเจอร์สและฟอเร็กซ์ ได้เช่นกัน แม้ว่าตลาดเหล่านั้นจะเปิดเกือบ 24 ชั่วโมง จุดสำคัญคือการเลือกว่า “ช่วงเปิดตลาด” ของคุณคือช่วงเวลาใด

  • หุ้น (Equities): ตัวอย่างที่คลาสสิก ใช้เวลา 15–30 นาทีแรกหลัง 09:30 น. ตามเวลา ET เพื่อทำเครื่องหมายจุดสูงสุดและต่ำสุด มันทำงานได้ดีเพราะปริมาณและความผันผวนพุ่งสูงขึ้นเมื่อเสียงระฆังเปิดตลาดดังขึ้น

  • ฟิวเจอร์ส (เช่น ES, NQ): ฟิวเจอร์สเทรดเกือบตลอดทั้งวัน ห้าวันต่อสัปดาห์ ดังนั้น เทรดเดอร์จึงมักตัดสินใจว่าสิ่งที่เทียบเท่ากับ "ช่วงเวลาเปิด" ของพวกเขาคือเวลาเดียวกับการเปิดตลาดหุ้นตอน 09:30 น. หรือการเปิดตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ตอน 08:00 น. พวกเขาใช้ช่วงเวลาเหล่านี้เพราะนั่นเป็นเวลาที่สภาพคล่องสูง

  • ฟอเร็กซ์ (Forex): ไม่มีเวลาเปิดตลาดเดียวกันทั่วโลก เทรดเดอร์ ORB จึงใช้ช่วงเปิดของภูมิภาคหลักเป็นเกณฑ์แทน

    • ช่วงเปิดตลาดลอนดอน (03:00–04:00 น. ตามเวลา ET) ใช้สำหรับปริมาณการซื้อขายที่สูงในคู่สกุลเงิน EUR, GBP

    • ช่วงเปิดตลาดนิวยอร์ก (08:00–09:00 น. ตามเวลา ET) ใช้สำหรับกิจกรรมที่แข็งแกร่งในคู่สกุลเงิน USD

    • บางคนใช้ช่วงเปิดตลาดเอเชีย (07:00–08:00 ET) สำหรับคู่ JPY/AUD/NZD

  • คริปโต: ตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน อย่างแท้จริง เทรดเดอร์บางคนใช้เวลา 00:00 น. ตามเวลา UTC ของแท่งเทียนรายวันเป็นจุดอ้างอิง หรือใช้เวลาที่มีปริมาณซื้อขายสูงในแต่ละแพลตฟอร์ม

หลักการเหมือนกัน: กำหนดกรอบช่วงต้นเซสชันที่มีสภาพคล่องสูง แล้วเทรดเมื่อเกิดการทะลุกรอบ ความต่างอยู่ที่ต้องเลือก “ช่วงเปิดตลาด” ให้เหมาะกับสินทรัพย์ของคุณ

ประวัติของ ORB

กลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB) มีจุดเริ่มต้นจากยุคการเทรดในฟลอร์การเทรด ที่เทรดเดอร์จะเฝ้าดูราคาช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังตลาดเปิด เพื่อจับทิศทางความเชื่อมั่นของตลาด(market sentiment) เมื่อเวลาผ่านไป วิธีนี้ถูกพัฒนาให้เป็นระบบมากขึ้น และถูกพูดถึงในหนังสือการเทรดหลายเล่ม จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดหุ้น ฟิวเจอร์ส และฟอเร็กซ์ กลยุทธ์นี้ไม่ได้มีผู้คิดค้นคนเดียว แต่มาจากแนวทางที่ค่อย ๆ พัฒนาเองในหมู่เทรดเดอร์ที่ทำการซื้อขายอย่างต่อเนื่องในตลาดจริง

เทรดเดอร์ชื่อดังคนหนึ่ง Sheldon Knight เคยใช้เปอร์เซ็นต์ส่วนต่างระหว่างราคาสูงสุดของช่วง N วัน และต่ำสุดของช่วง N วัน เพื่อหาช่วงกรอบราคา (range) เราชอบทำให้สิ่งต่าง ๆ ง่ายที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ ดังนั้น การใช้ค่าเฉลี่ยระยะสั้นหรือจุดสูงสุดและต่ำสุดของวันใดวันหนึ่งจึงมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเริ่มต้นของการซื้อขาย

ขนาดการเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด

นี่คือวิธีที่เราวัดขนาดของกรอบราคา

ขนาดการเบรกเอาต์ช่วงเปิด

ในการวัดค่า ORB ให้ใช้ค่าสูงสุดและต่ำสุดของช่วงเวลาที่กำหนดหลังจากตลาดเปิด ช่วงเวลานี้โดยปกติจะใช้ 30 นาทีแรก หรือ 1 ชั่วโมงแรกของการซื้อขาย

ในช่วงเวลานี้ คุณต้องระบุจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของวัน นอกจากนี้ คุณยังควรคำนึงถึงระดับสูงสุดและต่ำสุดก่อนเปิดตลาดด้วย เนื่องจากระดับเหล่านี้มักทำหน้าที่เสมือนแม่เหล็กดึงดูดการเคลื่อนไหวของราคาหลังจากตลาดเปิด มาดูรูปเดียวกันนี้โดยใช้การวัดที่ต่างกัน

การวัดค่า ORB

ขั้นตอนคำนวณและการวาดกรอบ ORB

คุณไม่จำเป็นต้องใช้ "เครื่องคำนวณ" พิเศษสำหรับช่วงเปิด เพราะมันเป็นเพียงคณิตศาสตร์พื้นฐานง่าย ๆ

สูตร:

  • ราคาสูงสุดในช่วงเปิดตลาด (Opening Range High) = ราคาสูงสุดในช่วง N นาทีแรก (เช่น 15 นาทีแรกหลังเปิดตลาด)
  • ราคาสูงสุดในช่วงเปิดตลาด (Opening Range Low) = ราคาต่ำสุดในช่วง N นาทีแรก

  • ความกว้างของช่วง (Range Width) = จุดสูงสุด - จุดต่ำสุด

บน MT4/MT5:

  1. เปิดกราฟ 1 นาที หรือ 5 นาที ของหุ้น ฟิวเจอร์ส หรือ คู่สกุลเงินที่ต้องการ

  2. ทำเครื่องหมายช่วงเวลา 15 หรือ 30 นาทีแรกหลังเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ

  3. ระบุราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลานั้น

  4. วาดกล่องแนวนอนหรือเส้นแนวนอนสองเส้นบนกราฟ: ด้านบน = จุดสูงสุด, ด้านล่าง = จุดต่ำสุด

  5. รอดูว่าราคาจะทะลุขึ้นหรือลงจากกรอบนั้น พร้อมยืนยันด้วยปริมาณซื้อขาย

บน MT4/MT5

เมื่อวาดกล่องเสร็จ มันจะกลายเป็น กรอบอ้างอิงของวันนั้น การที่ราคาทะลุออกจากกรอบนี้พร้อมปริมาณที่เพิ่มขึ้น คือสัญญาณเข้าเทรด

ตัวกรองคุณภาพของสัญญาณ ORB

ไม่ใช่ทุกการพุ่งทะลุช่วงเปิดตลาดที่ควรเข้าเทรด ถ้าไม่มีตัวกรองที่ดี คุณอาจเข้าเทรดสัญญาณคุณภาพต่ำ ซึ่งราคาจะแกว่งตัวไปมาและทำให้โดนตัดขาดทุนได้ง่าย ก่อนเทรดด้วยกลยุทธ์ ORB ควรตรวจสอบ 3 สิ่งต่อไปนี้

1. ความกว้างของกรอบ

  • กรอบเปิดตลาดควรกว้างพอที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่มีความหมาย

  • กฎทั่วไปคือ อย่างน้อย 0.2% ของราคาหุ้นนั้น

  • ตัวอย่าง: หากหุ้นราคา $100 สร้างช่วงเปิดที่แคบเพียง $0.10 นั่นถือว่าแคบเกินไปและมีแนวโน้มที่จะสร้างสัญญาณหลอก ช่วงเปิดที่ $0.20–$0.30 มีความน่าเชื่อถือมากกว่า

2. การยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย

  • ให้ดูว่ามีการพุ่งของปริมาณซื้อขาย (volume spike) ตอนที่เกิดการพุ่งทะลุกรอบหรือไม่

  • การทะลุกรอบที่เกิดขึ้นบนปริมาณซื้อขายต่ำ มักจะล้มเหลวเร็วมาก แท่งเทียนที่เกิดการพุ่งทะลุหรือเบรกเอาต์ควรมีปริมาณซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแท่งเทียนในกรอบอย่างเห็นได้ชัด

  • ปริมาณการซื้อขาย คือสัญญาณที่บอกคุณว่ามีสถาบันใหญ่เข้ามาซื้อขาย ถ้าไม่มีสิ่งนี้ การเคลื่อนไหวก็ขาดแรงขับเคลื่อน

3. แนวโน้มหลักของตลาดประจำวัน

  • ควรให้ทิศทางของการเทรด ORB สอดคล้องกับแนวโน้มหลักของกราฟใหญ่ ถ้าหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นบนกราฟรายวัน การทะลุกรอบขึ้น (bullish ORB) จะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการทะลุลง

  • สำหรับการเข้าซื้อ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหุ้นอยู่เหนือ VWAP รายวัน ใกล้ระดับสูงสุดก่อนตลาดเปิด หรืออยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่กว้างขึ้น

  • สำหรับการเข้าขาย: มองหาจุดความอ่อนแอที่ต่ำกว่า VWAP ระดับต่ำสุดก่อนตลาดเปิด หรือสภาพแวดล้อมตลาดขาลง

  • หากคุณเทรดสวนกับแนวโน้มของกรอบเวลาที่สูงกว่า โอกาสในการประสบความสำเร็จของคุณจะต่ำลงมาก 

สรุปประเด็นสำคัญ: การเห็นการพุ่งทะลุกรอบที่ชัดเจนไม่เพียงพอ ให้เข้าเทรดเฉพาะเมื่อ ORB ตรงตามเงื่อนไขทั้งสามข้อ: มีช่วงราคาที่กว้างพอ มีปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงเบรกเอาต์ และสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดหลัก

กลยุทธ์การเทรด ORB

กลยุทธ์นี้ประกอบด้วยหลายขั้นตอนดังนี้

  1. มองหาหุ้นที่มีช่องว่างของราคา (gap) ตอนเปิดตลาด เครื่องสแกนช่องว่างมีให้บริการออนไลน์ฟรี ฉะนั้นก็ไม่น่าจะดูยาก หรือคุณยังสามารถดู วิดีโอ Gap and Go ของเราได้ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาหุ้นที่เกิดช่องว่างราคาได้

    กลยุทธ์การเทรดแบบ ORB
  2. หลังจากคุณพบช่องว่างที่เหมาะสมแล้ว ให้เปิดกราฟของหุ้นและรอเวลาเริ่มต้นของช่วงการซื้อขาย สำหรับหุ้นสหรัฐฯ การซื้อขายจะเริ่มเวลา 16:30 น. ตามเวลา GMT+2 ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงมีนาคม และเวลา 16:30 น. ตามเวลา GMT+3 ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงกันยายน

    กลยุทธ์การเทรดแบบ ORB 2
  3. ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณเลือก ให้รอจนกว่าแท่งเทียน 4-6 แท่งแรกจะปิด โดยปกติ เทรดเดอร์มักเลือกแท่งเทียน 5 นาที จากนั้นกำหนดราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของกรอบเหมือนที่เราทำก่อนหน้านี้กลยุทธ์การเทรดแบบ ORB 3
  4. เมื่อราคาทะลุออกจากกรอบ ให้คุณเข้าเทรดในทิศทางของการเคลื่อนไหวนั้น จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ของคุณควรอยู่ภายในกรอบ (ต่ำกว่าราคาสูงสุดของกรอบสำหรับเทรดฝั่งซื้อ และสูงกว่าราคาต่ำสุดของกรอบสำหรับเทรดฝั่งขาย) เพื่อคงการบริหารความเสี่ยงที่ดี จุดทำกำไร (Take Profit) มักจะตั้งไว้ไกลกว่าจุดหยุดขาดทุนเป็นสองเท่ากลยุทธ์การเทรดแบบ ORB 4

การบริหารความเสี่ยงในการเทรด ORB

การเข้าเทรดที่ดีเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของการต่อสู้ วิธีที่คุณจัดการจุดหยุดและจุดออกจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ของคุณในระยะยาว การตั้งค่า ORB ให้คุณเลือกได้หลายทาง

ตัวเลือกการตั้งจุดหยุดขาดทุน

  • ภายในกรอบราคา (tight stop - แบบแคบ): ตั้งจุดหยุดของคุณไว้ภายในกรอบเปิดตลาด วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยง แต่เพิ่มโอกาสที่จะถูกหยุดโดยสัญญาณงรบกวนของตลาด วิธีนี้ใช้ได้ดีที่สุดในช่วงความผันผวนต่ำและสถานะขนาดเล็ก

  • แบบเต็มกรอบ (full range stop – อนุรักษ์นิยม): วางจุดหยุดขาดทุนของคุณไว้อีกฝั่งหนึ่งของกรอบเปิดตลาด วิธีนี้ให้พื้นที่กับการเทรดมากขึ้น แต่ต้องใช้ขนาดสถานะที่เล็กลง เหมาะสำหรับหุ้นที่มีความผันผวนสูง

  • แบบกึ่งกลาง (midpoint stop – สมดุล): วางจุดหยุดไว้ที่ 50% ของกรอบเปิดตลาด ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างความเสี่ยงแบบแคบและกว้าง

กลยุทธ์เป้าหมายและการออก

  • การกำหนดเป้าหมายแบบ R คงที่ (Fixed R-multiple): ตั้งเป้าหมายกำไรที่มีขนาด 1.5 ถึง 2 เท่าของจำนวนที่คุณเสี่ยง ถ้าคุณเสี่ยง $100 ให้ตั้งเป้าหมายกำไร $150–200 เทรดเดอร์หลายคนจะปิดบางส่วนเมื่อได้กำไร 1R (เท่ากับความเสี่ยงของตนเอง) จากนั้นปล่อยส่วนที่เหลือไว้ในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวต่อ

  • การออกบางส่วน (Partial exits): ทำกำไรบางส่วนเมื่อเกิดแรงผลักดันแรกที่แข็งแกร่ง หลังจากนั้น ให้เลื่อนจุดหยุดขาดทุนของคุณขึ้น (ถ้าคุณเทรดฝั่งซื้อ) หรือเลื่อนลง (ถ้าคุณเทรดฝั่งขาย) เพื่อปกป้องกำไรขณะยังอยู่ในเทรด

  • การออกตามเวลา (Time-based exit): หากการทะลุกรอบไม่สามารถสร้างแรงได้ภายใน 30–45 นาที แสดงว่าแรงเคลื่อนไหวเริ่มอ่อนแรง ให้ปิดคำสั่งซื้อขายแทนที่จะรอการกลับตัวเต็มรูปแบบ

  • การออกเมื่อสิ้นสุดวัน (End-of-session exit): หากคุณต้องการถือครองนานกว่าเดิม คุณสามารถถือไว้จนถึงเวลาปิดตลาดได้ เพียงจำไว้ว่าควรลดขนาดสถานะก่อนชั่วโมงสุดท้าย เพราะช่วงเวลานั้นมักมีสภาพคล่องต่ำและความผันผวนสูง

การกำหนดขนาดสถานะ

ขนาดของสถานะของคุณมีความสำคัญพอ ๆ กับจุดหยุดขาดทุนเมื่อพูดถึงการบริหารความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงแบบคงที่เป็นเปอร์เซ็นต์ เสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ของบัญชีต่อการเทรด (มักใช้ 1%)

    • สูตร: ขนาดสถานะ = (มูลค่าบัญชี × เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง) ÷ ขนาดของจุดหยุด

    • ตัวอย่าง: สำหรับบัญชี $10,000 ความเสี่ยง 1% = $100 หากจุดหยุดคือ $0.50 นั่นคือ 200 หุ้น

  • ขีดจำกัดการขาดทุนต่อวัน จำกัดการขาดทุนรวมต่อวันไม่เกิน 2–3% ของบัญชี เมื่อถึงขีดจำกัดนั้น ให้หยุดเทรดในวันนั้นไปเลย สิ่งนี้ช่วยป้องกันไม่ให้วันที่แย่กลายเป็นหายนะ

ข้อสรุปสำคัญ: ORB เป็นกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น จุดหยุดและจุดออกของคุณต้องสอดคล้องกับความผันผวนของหุ้น ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง และขนาดบัญชี ความสม่ำเสมอในการบริหารความเสี่ยงสำคัญกว่าการไล่หากำไรก้อนใหญ่

ข้อผิดพลาดทั่วไปและการแก้ไข

แม้จะทำตามกฎที่ชัดเจน เทรดเดอร์ก็มักทำผิดแบบเดิม ๆ เมื่อเทรด ORB การรู้ข้อผิดพลาดเหล่านี้และวิธีป้องกันคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จระยะยาวที่สม่ำเสมอ

  • เข้าเทรดจากการพุ่งทะลุกรอบที่แคบเกินไป ถ้ากรอบเปิดตลาดกว้างเพียงเล็กน้อย นั่นเป็นเพียงสัญญาณรบกวน ใช้ตัวกรองขั้นต่ำ (เช่น 0.2% ของราคา หรือการพุ่งของปริมาณ) เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอก

  • ไล่ตามแท่งเทียนที่ทะลุกรอบ การเข้าเทรดช้าเกินไปมักหมายถึงการซื้อบนจุดสูงสุดหรือขายที่จุดต่ำสุด แทนที่จะทำแบบนั้น รอให้แท่งเทียนทะลุปิดก่อน หรือรอการย่อตัว (pullback) ก่อนค่อยเข้าเทรด

  • มองข้ามการยืนยันด้วยปริมาณซื้อขาย การทะลุกรอบโดยไม่มีปริมาณที่แข็งแกร่งมักจะไม่ยั่งยืน เปรียบเทียบปริมาณของแท่งที่ทะลุกับแท่งเปิดตลาดเสมอ หากไม่สูงกว่าอย่างชัดเจน ก็ให้ระวัง

  • เทรดสวนแนวโน้มรายวัน ควรสอดคล้องกับภาพใหญ่เท่าที่เป็นไปได้ การขายชอร์ตหุ้นในแนวโน้มขาขึ้นแรงหรือการซื้อในแนวโน้มขาลงจะลดโอกาสของคุณ

  • ถือสถานะผ่านช่วงเหตุการณ์ข่าวใหญ่ รายงานผลประกอบการและข่าวด่วนสามารถทำให้ ORB ไม่น่าเชื่อถือ หากมีข่าวออก ให้ยกเลิกการตั้งค่าซะ

  • เปิดสถานะที่ใหญ่เกินไป การเทรด ORB เคลื่อนไหวเร็วมาก ถ้าขนาดสถานะของคุณใหญ่เกินไป คุณจะรู้สึกกดดันและเครียดมากขึ้น รักษาขนาดให้เล็กจนกว่าคุณจะทดสอบกลยุทธ์และสร้างความมั่นใจ

  • ไม่ใช้คำสั่งหยุดขาดทุน การไม่ตั้งหรือยกเลิกจุด Stop อาจทำให้การขาดทุนเล็ก ๆ กลายเป็นขาดทุนใหญ่ ตั้งจุดหยุดของคุณทันทีเมื่อเข้าเทรด

สรุป: ชะลอจังหวะลง ใช้ตัวกรอง และจดบันทึกทุกการเทรดแบบ ORB การติดตามสิ่งที่ทำให้การตั้งค่าของคุณล้มเหลวจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำ

เคล็ดลับสำหรับการเทรดที่ดีกว่า

  • พิจารณาการทำกำไรบางส่วนที่ +1R หรือครึ่งทางไปยังเป้าหมายของคุณ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงและล็อกกำไรไว้ แต่สถานะที่เหลือยังมีความเสี่ยง ควรตั้ง Stop Loss เสมอ วิธีนี้จะทำให้การเทรดของคุณปลอดความเสี่ยง และช่วยให้คุณผ่านช่วงเวลาที่การเทรดไม่เป็นไปตามแผนได้

  • อย่าเข้าเทรดหากคุณไม่มั่นใจ มิฉะนั้นคุณจะรู้สึกประหม่าและเสียสมาธิ

  • รอให้แท่งเทียนปิดเหนือกรอบเปิดตลาด เพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกเอาต์หลอก

ตัวอย่าง ORB ขาขึ้น:

ในกราฟ 5 นาทีของ AMD หลังเปิดตลาด หุ้นสร้างกรอบในช่วง 15 นาทีแรกระหว่าง $149.70 – $152.67 (ดังแสดงในกรอบสีแดง) โซนนี้คือสมรภูมิแรกของการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

เมื่อถึงเวลา 09:45 น. ตามเวลา ET ราคาพุ่งทะลุขึ้นเหนือ $152.67 ด้วยแรงซื้อสูง (ดูลูกศรจุดเข้า) การพุ่งทะลุนี้ยืนยันโมเมนตัมขาขึ้น จึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนให้เข้าซื้อ มีการวางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ต่ำกว่าระดับต่ำสุดของกรอบที่ $149.70 เพื่อจำกัดความเสี่ยงด้านขาลงที่อาจเกิดขึ้น

จากนั้น AMD ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน จนถึงระดับ $158.18 ในช่วงบ่าย (ดูที่ลูกศรจุดทำกำไร) การเคลื่อนไหวนี้ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงเกือบ 2:1

สรุป: การตั้งค่า ORB แบบขาขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุจุดสูงสุดของกรอบเปิดตลาดและมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นชัดเจน ด้วยการตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้ต่ำกว่าระดับแนวรับ และตั้งเป้าหมายที่ระดับแนวต้านที่มีเหตุผล จะช่วยให้เทรดเดอร์มีวิธีการที่มีโครงสร้างในการมีส่วนร่วมกับโมเมนตัมขาขึ้นตั้งแต่เนิ่น ๆ

ตัวอย่าง ORB ขาขึ้น

ตัวอย่าง ORB ขาลง:

ในกราฟ 5 นาทีนี้ Apple เปิดตลาดและสร้างกรอบเริ่มต้นระหว่างประมาณ $201.91 ถึง $203.69 (ดูในกรอบสีแดง) กรอบนี้แสดงถึงสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในช่วงเช้า

เมื่อราคาพุ่งทะลุต่ำกว่า $201.91 ผู้ขายก็เข้าควบคุมตลาด เปิดโอกาสให้เข้าขาย จุดตัดขาดทุนถูกวางไว้เหนือจุดสูงสุดของกรอบที่ $203.69 เพื่อควบคุมความเสี่ยง

จากนั้น ราคาได้เคลื่อนไหวในทิศทางขาลงเข้าสู่โซน $198.50 (ดูลูกศรทำกำไร) การเคลื่อนไหวนี้ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.5R เมื่อเทียบกับความเสี่ยง เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ ORB ขาลง

ตัวอย่าง ORB ขาลง

การเข้าเทรดแบบ Pullback หลังพุ่งทะลุกรอบ

ไม่ใช่ทุกการพุ่งทะลุช่วงเปิดตลาดจะเกิดขึ้นอย่างราบรื่น นี่คือกับดักที่พบได้บ่อย

ในกราฟ Apple 1 นาทีนี้ ช่วงราคาเปิดถูกเน้นด้วยสีแดง ราคาได้พุ่งทะลุขึ้นไปเหนือกรอบในช่วงแรก แต่ปริมาณการซื้อขายไม่เพิ่มขึ้น แท่งด้านล่างแสดงให้เห็นว่าปริมาณยังคงทรงตัว ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า

หลังจากนั้นไม่นาน ราคากลับเข้ามาในกรอบอีกครั้ง ยืนยันว่าเป็นการทะลุกรอบล้มเหลว จุดนี้สร้างโอกาสสำหรับการเข้าขาย ที่จุดเข้าใหม่ (Enter) โดยวาง Stop Loss ไว้เหนือจุดสูงสุดที่ล้มเหลว (Stop)

จากนั้น โมเมนตัมเปลี่ยนเป็นขาลง

  • เป้าหมายที่ 1 (Target 1): กึ่งกลางของกรอบ ซึ่งสามารถปิดบางส่วนเพื่อทำกำไร

  • เป้าหมายที่ 2 (Target 2): ด้านล่างของกรอบ เป็นจุดจบของ ORB ที่ล้มเหลวโดยสมบูรณ์

การเข้าเทรดแบบ Pullback หลังพุ่งทะลุกรอบ

สรุป: เมื่อราคาทะลุกรอบเปิดตลาดโดยไม่มีการยืนยันจากปริมาณซื้อขาย การพุ่งทะลุนั้นมักล้มเหลว การสังเกตสถานการณ์แบบนี้ช่วยให้สามารถเทรดกลับทิศได้ พร้อมระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ชัดเจน

การทดสอบย้อนหลังและความคาดหวัง

ก่อนใช้กลยุทธ์ ORB ด้วยเงินจริง สิ่งสำคัญคือการทดสอบกับข้อมูลย้อนหลัง ควรใช้ข้อมูลภายในวัน (intraday) อย่างน้อยระดับ 1 นาที เพื่อจับรายละเอียดของกรอบเปิดตลาดและกลไกการทะลุได้อย่างแม่นยำ กำหนดขั้นตอนการทดสอบที่ชัดเจน

  • ช่วงเวลา (Time windows): ทดสอบกรอบเปิดที่ต่างกัน (5, 15 หรือ 30 นาทีแรก) เพื่อเปรียบเทียบความไวของสัญญาณ

  • ตัวกรองกรอบ (Range filters): ตั้งเกณฑ์ขั้นต่ำของกรอบอย่างน้อย 0.2% ของราคา เพื่อกรองสัญญาณที่อ่อนแอ

  • เงื่อนไขการออก (Exit logic): เปรียบเทียบผลลัพธ์จากกำไรคงที่, Trailing stop และการออกตามเวลา

  • การยืนยันด้วยปริมาณ (Volume confirmation): ติดตามว่าการเทรดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ยให้ผลลัพธ์ดีกว่าหรือไม่

คาดว่าผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามหุ้น วัฏจักรตลาด และระดับความผันผวน ไม่มีการทดสอบย้อนหลังใดให้กราฟกำไรที่สมบูรณ์แบบ เป้าหมายไม่ใช่การหาสูตรวิเศษที่ไม่เคยล้มเหลว แต่คือการเข้าใจว่ากลยุทธ์นี้ทำงานอย่างไรภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ จากนั้นคุณสามารถใช้ความรู้นั้นในการเทรดโดยมีความคาดหวังที่เป็นจริง และค้นหาว่าเวอร์ชันใด (ขาขึ้น, ขาลง, ORB ล้มเหลว, การย่อตัว) ที่เหมาะกับสไตล์ของคุณมากที่สุด

คำถามที่พบบ่อย: การเทรดแบบเบรกเอาต์ช่วงเปิดตลาด

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเทรด ORB คือเมื่อใด?เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้ช่วง 15–30 นาทีแรกหลังตลาดเปิด (09:30–10:00 น. ตามเวลา ET) เพราะเป็นช่วงที่มีความผันผวนและปริมาณซื้อขายสูงสุด และกรอบเปิดตลาดจะชัดเจนที่สุด

คุณควรจัดการอย่างไรเมื่อหุ้นเปิดกระโดดมีช่องว่างกว้างมาก?หากหุ้นเปิดกระโดดจนมีช่องว่างกว้างเกินกรอบของวันก่อนหน้า ควรระวัง เพราะช่องว่างมักทำให้เกิดสัญญาณหลอก ให้รอการยืนยันด้วยปริมาณซื้อขาย หรือรอการดึงกลับครั้งแรกก่อนเข้าเทรด แทนการไล่ราคาทันที (ดูส่วนตัวเลือก)

ฉันควรถือการเทรด ORB นานแค่ไหน?ไม่มีข้อกำหนดที่ตายตัว เทรดเดอร์หลายคนถือดีลไว้ 30–90 นาที หรือจนกว่าการทะลุกรอบจะสูญเสียแรงโมเมนตัม บางคนออกจากการซื้อขายก่อนตลาดปิด หากเทรดแบบรายวัน (intraday) เท่านั้น ให้ใช้เป้าหมายกำไรคงที่ (fixed R targets), การออกตามเวลา หรือปิดบางส่วน ตามแผนการเทรดของคุณ (ดูส่วนการบริหารความเสี่ยง)

ฉันสามารถทดสอบย้อนหลังกลยุทธ์ ORB ได้หรือไม่?ได้ ใช้ข้อมูลราคาย้อนหลังระดับ 1–5 นาที เพื่อจำลองการเทรด ทดสอบช่วงกรอบเปิดที่ต่างกัน (15 กับ 30 นาที), ตัวกรองกรอบ และกฎหยุด/เป้าหมาย ที่แตกต่างกัน หลีกเลี่ยงการปรับแต่งเกินไป ซึ่งจะทำให้กลยุทธ์เหมาะกับหุ้นหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งมากเกินไป (ดูการทดสอบย้อนหลังและความคาดหวัง)

ORB เหมาะสำหรับบัญชีขนาดเล็กหรือไม่?เหมาะ หากจำกัดความเสี่ยงให้ต่ำ (เช่น 0.5% ของบัญชีต่อการเทรดหนึ่งครั้ง) และเทรดหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงเพื่อลดปัญหาการเคลื่นอของราคา (slippage) บัญชีขนาดเล็กจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการใช้ Stop ที่แคบและหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง (ดูกรอบการกำหนดขนาดสถานะ)

อธิบายคำศัพท์ ORB

Opening Range (OR): จุดสูงสุดและต่ำสุดในช่วง 15–30 นาทีแรกหลังเปิดตลาด มันเป็นพื้นฐานสำหรับสัญญาณพุ่งทะลุหรือเบรกเอาต์

Opening Drive: การเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งทันทีหลังตลาดเปิด ซึ่งกำหนดทิศทางของวันนั้น

Gap: ช่องว่างของราคาระหว่างราคาปิดของวันก่อนกับราคาเปิดของวันถัดไป หากช่องว่างนี้กว้างเกินไป การทะลุกรอบของ ORB มักไม่น่าเชื่อถือ

Range Width: ระยะห่าง (เป็นหน่วยราคา หรือ %) ระหว่างจุดสูงและต่ำของกรอบเปิดตลาด ใช้เป็นตัวกรองเพื่อให้แน่ใจว่ากรอบนั้นสามารถเทรดได้จริง

Midpoint: ระดับ 50% ของกรอบเปิดตลาด บางครั้งใช้เป็นจุด Stop หรือแนวรับ/แนวต้านระหว่างวัน

Failed Breakout (Failed ORB): เมื่อราคาทะลุกรอบเปิดตลาดแล้วกลับเข้ากรอบอย่างรวดเร็ว มักทำให้ทริกเกอร์ Stop Loss

Pullback Entry: การรอให้ราคาทะลุกรอบก่อน แล้วดึงกลับมายังระดับพุ่งทะลุหรือเส้น VWAP ก่อนเข้าเทรด

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

FBS ณ สื่อสังคมออนไลน์

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon

ติดต่อเรา

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
Google Play
store iconstore icon
ดาวน์โหลด MT4 บน
App Store
store iconstore icon
ดาวน์โหลด MT5 บน
App Store

การซื้อขาย

บริษัท

เกี่ยวกับ FBS

ผลกระทบต่อสังคมของเรา

เอกสารทางกฎหมาย

ข่าวเกี่ยวกับบริษัท

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

ศูนย์ช่วยเหลือ

โปรแกรมพันธมิตร

เว็บไซต์นี้ดำเนินการโดย FBS Markets Inc. หมายเลขจดทะเบียน 000001317 ซึ่ง FBS Markets Inc. ได้รับการจดทะเบียนโดย Financial Services Commission ภายใต้พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯ 2021 (Securities Industry Act 2021) ใบอนุญาตเลขที่ 000102/31 ที่อยู่สำนักงาน: The Bentley, #16 Cor A Street & Princess Margaret Drive, Belize City, Belize

FBS Markets Inc. ไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตอำนาจศาลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, อิสราเอล, อินเดีย, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และเมียนมาร์

ธุรกรรมการชำระเงินได้รับการจัดการโดย HDC Technologies Ltd.; Registration No. HE 370778; Legal address: Arch. Makariou III & Vyronos, P. Lordos Center, Block B, Office 203, Limassol, Cyprus ที่อยู่เพิ่มเติม: Office 267, Irene Court, Corner Rigenas and 28th October street, Agia Triada, 3035, Limassol, Cyprus

เบอร์ติดต่อ: +357 22 010970 เบอร์ติดต่อเพิ่มเติม: +501 611 0594

สำหรับความร่วมมือ กรุณาติดต่อเราผ่าน [email protected]

คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินและการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้นอย่างถ่องแท้ และคุณควรตระหนักถึงระดับประสบการณ์ของตนเอง

การคัดลอก การทำสำเนา การเผยแพร่ รวมถึงแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเนื้อหาใดๆ จากเว็บไซต์นี้สามารถดำเนินการได้เฉพาะเมื่อได้รับการอนุญาตที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การชี้แนะ หรือการชักชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น