คุณอาจเคยได้ยินเรื่องเซอร์ไพรส์อันไม่พึงประสงค์ของเทรดเดอร์อย่างมาร์จิ้นคอล (Margin Call) หรือการเรียกหลักประกันเพิ่มมาก่อน เราหวังว่าคุณจะไม่เคยต้องประสบพบเจอด้วยตัวคุณเองว่ามันคือหายนะร้ายแรงแค่ไหน
FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16
04 มิ.ย. 2025
กลยุทธ์
คุณอาจเคยได้ยินเรื่องเซอร์ไพรส์อันไม่พึงประสงค์ของเทรดเดอร์อย่างมาร์จิ้นคอล (Margin Call) หรือการเรียกหลักประกันเพิ่มมาก่อน เราหวังว่าคุณจะไม่เคยต้องประสบพบเจอด้วยตัวคุณเองว่ามันคือหายนะร้ายแรงแค่ไหน
มาร์จิ้นคอล คือ การที่โบรกเกอร์เรียกร้องให้เทรดเดอร์เพิ่มมูลค่าในบัญชีมาร์จิ้นให้ถึงระดับขั้นต่ำที่โบรกเกอร์กำหนดไว้
น่าเสียดายที่มีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเทรดด้วยมาร์จิ้น
แม้คำว่ามาร์จิ้นคอลจะฟังดูน่ากลัว แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดเทรดเดอร์ที่กระหายโอกาสจากการใช้เลเวอเรจในพอร์ตการลงทุนของพวกเขาได้ การรู้ล่วงหน้าเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด มาเรียนรู้กันว่ามาร์จิ้นคอลคืออะไร และเราจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร
มาร์จิ้นคอลจะเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าบัญชีของเทรดเดอร์ลดต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนดไว้
การที่เทรดเดอร์ใช้เลเวอเรจสูงโดยไม่มีเงินเพียงพอในบัญชีสามารถกระตุ้นให้เกิดมาร์จิ้นคอลได้
มาร์จิ้นคอลมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงหรือมีการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดคิด
เมื่อเทรดเดอร์ได้รับมาร์จิ ้นคอล จะต้องฝากเงินเข้าบัญชีเพิ่มหรือปิดสถานะไปบางส่วน
เทรดเดอร์สามารถหลีกเลี่ยงมาร์จิ้นคอลได้โดยเข้าใจเงื่อนไขการใช้มาร์จิ้น ตั้งคำสั่ง Stop Loss ค่อย ๆ เข้าเทรดแบบมีแผน และเข้าใจกลยุทธ์การเทรดของพวกเขาเป็นอย่างดี
มาร์จิ้นคอล (Margin Call) หรือการเรียกหลักประกันเพิ่ม หมายถึง การเทรดด้วยมาร์จิ้นซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์เพื่อเพิ่มอำนาจในการซื้อขายและเปิดคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ขึ้น โดยการเปิดบัญชีมาร์จิ้น จะทำให้ผู้คนสามารถเทรดด้วยมาร์จิ้นได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะใช้เงินของตัวเองและยืมเงินจากโบรกเกอร์มาเพื่อเทรดแต่ละตราสาร การเทรดแบบนี้สามารถสร้างกำไรได้มากขึ้น แต่ในขณะเ ดียวกันก็ทำให้ขาดทุนได้มากขึ้นเช่นกัน
“การใช้มาร์จิ้นนั้นยอดเยี่ยมมากหากตลาดเคลื่อนไปตามแผนที่วางไว้ แต่ถ้าเกิดมาร์จิ้นคอลขึ้นมา มันก็แย่มากเช่นกัน”
การเทรดด้วยมาร์จิ้นมาพร้อมกับความเสี่ยงโดยธรรมชาติของการถูกเรียกมาร์จิ้น (Margin Call) ซึ่งหมายความว่าสินทรัพย์ที่ถืออยู่ในบัญชีมาร์จิ้นมีมูลค่าลดลง มาร์จิ้นคอลเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ในบัญชีของเทรดเดอร์ลดลงต่ำกว่าระดับหลักประกันรักษาสภาพที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ (หรือที่เรียกว่า maintenance margin)
บริษัทโบรกเกอร์ทุกแห่งต่างก็มีข้อกำหนดหลักประกันรักษาสภาพขั้นต่ำที่เทรดเดอร์ต้องปฏิบัติตามในขณะที่ทำการเทรดด้วยมาร์จิ้น ค่าวิกฤตที่นำไปสู่การเรียกหลักประกันคือเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินหลักประกัน โบรกเกอร์แต่ละรายมีหลักประกันรักษาสภาพที่กำหนด (maintenance margin requirements) ของตัวเอง ซึ่งจะอยู่ที่ 20-30%
มาร์จิ้นคอลหรือการเรียกหลักประกันเพิ่มอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการที่เทรดเดอร์เทรดโดยใช้เลเวอเรจสูงและมีเงินในบัญชีไม่เพียงพอ เมื่อเทรดเดอร์ใช้เลเวอเรจ พวกเขากำลังยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะที่ใหญ่ขึ้น
ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เศรษฐกิจไม่แน่นอน หรือราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เลเวอเรจอาจส่งผลเสียต่อเทรดเดอร์ ทำให้เกิดการขาดทุนอย่างหนักซึ่งสามารถลดมูลค่าบัญชีลงอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์การซื้อขายที่ไม่ดีก็สามารถทำให้เกิดมาร์จิ้นคอลได้เช่นกัน
มาร์จิ้นคอลมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูงหรือมีการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างกะทันหัน ข่าว เหตุการณ์ รายงานเศรษฐกิจ หรือปัจจัยอื่น ๆ อาจทำให้ตลาดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน และทำให้เกิดมาร์จิ้นคอลได้ตลอดเวลา
เทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจสูงแต่ไม่มีเงินทุนเพียงพอในการรองรับการขาดทุน มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับมาร์จิ้นคอลในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน
หากเทรดเดอร์ได้รับมาร์จิ้นคอล พวกเขาจะต้องตอบสนองทันที ควรดำเนินการตามคำเรียกโดยทันที หรืออย่างช้าที่สุดต้องจัดการให้เสร็จภายในกำหนดเวลาที่โบรกเกอร์ระบุไว้ ซึ่งปกติมักอยู่ในช่วง 2 ถึง 5 วัน
ในการตอบสนองต่อมาร์จิ้นคอล เทรดเดอร์สามารถทำได้สองวิธีด้วยกัน:
ฝากเงินเข้าบัญชีเพิ่มเ ติม การฝากเงินเพิ่มเติมจะช่วยเพิ่มมูลค่าบัญชีและทำให้มันกลับมาเหนือระดับหลักประกันรักษาสภาพที่กำหนด
ปิดสถานะออกบางส่วน การปิดสถานะออกบางส่วนจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมและป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติมได้
เมื่อเกิดมาร์จิ้นคอล เทรดเดอร์ต้องตัดสินใจว่าจะฝากเงินเข้าบัญชีเพิ่ม หรือปิดบางสถานะที่เปิดไว้อยู่ในบัญชี หากไม่ดำเนินการตามมาร์จิ้นคอล โบรกเกอร์มีสิทธิ์ปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมดของคุณเพื่อปรับยอดบัญชีให้กลับมาเป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งบางครั้งอาจดำเนินการโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เทรดเดอร์ที่ได้รับมาร์จิ้นคอลสามารถติดต่อโบรกเกอร์เพื่อสอบถามวันครบกำหนดและแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ FBS มีการสนับสนุนลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน พร้อมที่จะตอบทุกคำถามของลูกค้า
ถ้าคุณไม่เข้าใจการเทรดด้วยมาร์จิ้นและวิธีการทำงานของมาร์จิ้นคอล คุณจะต้องตกใจแน่ที่ได้เห็นพอร์ตของคุณแตก
แต่เทรดเดอร์สามารถป้องกันเหตุการณ์หายนะนี้ได้นะ นี่คือเคล็ดลับบางส่วนในการหลีกเลี่ยงมาร์จิ้นคอล:
เทรดด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ก่อนเทรดด้วยมาร์จิ้น ให้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนว่าคุณต้องการมาร์จิ้นจริงหรือไม่ ถ้าต้องการจริง ควรทำความเข้าใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการเทรดด้วยมาร์จิ้น ความผันผวนของตลาด และกลยุทธ์การเทรดอย่างละเอียดรอบคอบ รวมถึงนำเทคนิคการบริหารความเสี่ยงมาใช้เพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างหนัก
เรียนรู้ข้อกำหนดมาร์จิ้น "ก่อน" ที่คุณจะวางคำสั่งซื้อขายใด ๆ
เมื่อคุณรู้รายละเอียดทั้งหมดแล้ว คุณจะสามารถเลือกใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมและมั่นใจได้ว่ามีเงินทุนเพียงพอที่จะรองรับการเทรดของคุณได้ นอกจากนี้ ควรติดตามออเดอร์และยอดเงินในบัญชีมาร์จิ้นอย่างสม่ำเสมอด้วย
ใช้คำสั่ง Stop Loss หรือ Trailing Stop
คำสั่งเหล่านี้สามารถช่วยจำกัดการขาดทุนของคุณ และป้องกันไม่ให้มูลค่าบัญชีลดลงต่ำกว่าระดับมาร์จิ้นที่กำหนดไว้
ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนไม้แทนที่จะเข้าเทรดทั้งหมดในไม้เดียว
การเข้าออเดอร์แบบทยอยเข้า (Scaling in) หมายถึง การเริ่มต้นด้วยขนาดเล็กแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เปิดออร์เดอร์ขนาดเล็กก่อนหนึ่งรายการ จากนั้นจึงเพิ่มจำนวนเมื่อราคาขยับไปในทิศทางที่คุณต้องการ พร้อมกับปรับระดับ Stop Loss ให้เหมาะสม ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถลดความเสี่ยง และเลือกใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมได้
ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ กลยุทธ์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นอย่างดี และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณอาจหลีกเลี่ยงการเกิดมาร์จิ้นคอลได้
สมมติว่าเทรดเดอร์มีบัญชีมาร์จิ้นที่มีเงินอยู่ $20,000 และตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น XYZ จำนวน 500 หุ้นในราคา $50 ต่อหุ้น ต้นทุนคำสั่งซื้อทั้งหมดจะอยู่ที่ $25,000 ($50 ต่อหุ้น x 500 หุ้น)
สมมติว่าโบรกเกอร์มีข้อกำหนดมาร์จิ้นที่ 50% เทรดเดอร์ควรวางเงิน $12,500 (50% ของ $25,000) และยืมเงินที่เหลือ $12,500 จากโบรกเกอร์เพื่อทำการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์
หากมูลค่าของหุ้น XYZ ตกลงไปที่ $40 ต่อหุ้น มูลค่าคำสั่งซื้อทั้งหมดจะเท่ากับ $20,000 ($40 ต่อหุ้น x 500 หุ้น) ซึ่งเท่ากับยอดเงินเริ่มต้นในบัญชีมาร์จิ้นของเทรดเดอร์
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ยังคงเป็นหนี้โบรกเกอร์เป็นจำนวน $12,500 ที่ยืมมาเพื่อซื้อหุ้น เนื่องจากมูลค่าของการลงทุนได้ลดลงต่ำกว่าข้อกำหนดมาร์จิ้นที่ 50% เทรดเดอร์จึงโดนมาร์จิ้นคอลจากโบรกเกอร์ให้ฝากเงินหรือหลักทรัพย์เพิ่มเติมเพื่อให้บัญชีกลับสู่ระดับมาร์จิ้นที่กำหนด
ในการคำนวณจำนวนมาร์จิ้นคอล โบรกเกอร์จะใช้สูตรเดียวกันกับในตัวอย่างก่อนหน้านี้:
จำนวนมาร์จิ้นคอล = (มูลค่าปัจจุบันของหลักทรัพย์ในบัญชี x อัตรามาร์จิ้นที่กำหนด) – ยอดเงินในบัญชี
ในกรณีนี้ จำนวนมาร์จิ้นคอลจะเป็น:
จำนวนมาร์จิ้นคอล = ($20,000 x 50%) - $12,500
จำนวนมาร์จิ้นคอล = $10,000 - $12,500
จำนวนมาร์จิ้นคอล = -$2,500
ดังนั้น เทรดเดอร์ควรฝากเงินเพิ่มอีก $2,500 เพื่อให้ครบตามที่มาร์จิ้นคอลกำหนด และรักษาสถานะในหุ้น XYZ เอาไว้ หากเทรดเดอร์ไม่สามารถทำได้ตามที่มาร์จิ้นคอลกำหนด โบรกเกอร์อาจชำระหนี้ด้วยการปิดคำสั่งซื้อขายที่เปิดอยู่บางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อให้ครอบคลุมหนี้คงค้าง
การเทรดด้วยมาร์จิ้นเป็นการเทรดที่มีความเสี่ยงสูง ถึงแม้อาจเพิ่มกำไรได้มาก แต่ก็สามารถทำให้ขาดทุนได้มากเช่นกัน การใช้เลเวอเรจสามารถล้างบัญชีของเทรดเดอร์ได้อย่างรวดเร็ว หากตลาดเคลื่อนที่สวนทางกับพวกเขา นอกจากนี้ มาร์จิ้นคอลยังสร้างความเครียดและจัดการได้ยากในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย
ผู้ที่ต้องการเทรดด้วยมาร์จิ้นควรรู้จักตลาดเป็นอย่างดีและระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาความเสี่ยงของการเทรดด้วยมาร์จิ้นอย่างรอบคอบก่อนที่จะเริ่ม
การเทรดด้วยมาร์จิ้นสามารถเป็นวิธีที่สร้างผลกำไรได้ดีและเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน เทรดเดอร์ที่ต้องการเทรดด้วยมาร์จิ้นควรเข้าใจตลาด การเทรดด้วยมาร์จิ้น และระดับความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้ เทรดเดอร์ควรมีเงินทุนสำรองไว้เพื่อใช้ฝากเข้าบัญชีเมื่อเกิดมาร์จิ้นคอลด้วยเช่นกัน หากเทรดเดอร์ได้รับมาร์จิ้นคอล ควรดำเนินการตามข้อเรียกร้องอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้หลักทรัพย์ถูกชำระบัญชี
โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก