ภาพรวมตลาด
ในวันพรุ่งนี้ ตลาดทั่วโลกกำลังจับตามองการเปิดเผยตัวเลข ดัชนี PCE (Personal Consumption Expenditures) ของเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ให้ความสำคัญมากที่สุด ก่อนหน้ารายงานนี้ นักลงทุนเริ่มหันมาประเมินว่าแรงกดดันด้านราคาที่สะสมมาจากนโยบายการค้าของรัฐบาลจะเริ่มสะท้อนในตัวเลขหรือยัง หรือว่ายังเร็วเกินไปที่ "คลื่นลูกใหญ่" จากภาษีนำเข้าจะซัดเข้าสู่ชั้นวางสินค้าและข้อมูลทางเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์โดยรวมประเมินว่า ดัชนี PCE เดือนพฤษภาคมจะเพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้า และ 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งไม่แตกต่างจากเดือนเมษายน ส่วน PCE Core ที่ตัดอาหารและพลังงานออกนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% รายเดือน และ 2.6% รายปี อย่างไรก็ตาม เดวิด เคลลี่ จาก JPMorgan เตือนว่า นี่อาจเป็นเพียง "ยอดของภูเขาน้ำแข็ง" โดยแรงกดดันจากภาษีนำเข้าจะเริ่มเด่นชัดตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป และอาจผลักดันเงินเฟ้อรายปีให้สูงขึ้นถึง 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ภายในปลายปี
ภาพรวมในอดีตยังคงสะท้อนความระมัดระวังของตลาด: ตัวเลข PCE เดือนเมษายนที่ประกาศไปก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เช่นกัน ทั้งในระดับ Headline และ Core สะท้อนว่าภาวะเงินเฟ้อยังไม่กดดันจนต้องเปลี่ยนท่าทีของ Fed อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเพราะความไม่แน่นอนจากการที่นโยบายภาษีนำเข้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการอย่าง Costco และ Walmart ต้องปรับแผนจัดซื้อและชะลอการขึ้นราคา
แม้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคมจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% และชี้ให้เห็นว่าเงินเฟ้อในฝั่งราคาสินค้ายังอยู่ในระดับปานกลาง แต่หลายฝ่ายรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs และ Principal Asset Management ต่างเห็นพ้องว่า ผลกระทบจากภาษีนำเข้าจะ “ดีเลย์” และเริ่มก่อตัวแรงขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้ เมื่อสินค้าคงคลังที่ไม่โดนภาษีเริ่มหมดลง ประเด็นนี้จึงไม่อาจละเลยได้ในการประเมินทิศทางเงินเฟ้อระยะถัดไป
Fed เองก็ยังไม่มีความเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แม้จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.50% มาหลายเดือนแล้วก็ตาม แถลงการณ์ล่าสุดของ FOMC ชี้ให้เห็นความกังวลที่ลดลงเล็กน้อย แต่ยังประเมินว่า Core PCE ปีนี้จะอยู่ที่ 3.1% สูงกว่าค่าเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและตลาดแรงงานที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงกดดันให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยทันทีเพื่อลดต้นทุนหนี้ภาครัฐที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์การวิเคราะห์ทางเทคนิค
EURUSD
ราคายังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยสามารถทรงตัวเหนือกรอบแนวรับสำคัญบริเวณกรอบสีแดงได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ราคายังเคลื่อนที่อยู่ภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงโมเมนตัมเชิงบวกที่ยังไม่แผ่วลง แม้จะมีจังหวะพักตัวเป็นระยะในช่วงสั้น ๆ แต่แรงซื้อก็ยังคงกลับเข้ามาอย่างชัดเจนในบริเวณแนวรับ ส่งผลให้ราคาสามารถรักษาทิศทางขาขึ้นไว้ได้อย่างมั่นคง ภาพรวมจึงยังสะท้อนถึงแรงซื้อที่มีน้ำหนัก และมีแนวโน้มจะหนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 1.18126 และระดับสำคัญถัดไปที่ 1.19870 ตามลำดับ
EURUSD (H4)

XAUUSD
แม้ในระยะสั้นราคาจะสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวภายในกรอบแนวต้านสีแดงได้อีกครั้ง แต่การที่ยังไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้อย่างเด็ดขาด สะท้อนว่าแรงซื้อยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะขับเคลื่อนราคาขึ้นต่อในทิศทางขาขึ้นได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน ทิศทางราคายังคงเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบเทรนไลน์ขาลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาลงยังไม่จบ และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลงต่อในระยะถัดไป โดยมีแนวรับสำคัญที่ควรจับตาอยู่ที่บริเวณ 3,280.38 ดอลลาร์ และระดับถัดไปที่ 3,223.80 ดอลลาร์ ตามลำดับ
XAUUSD (H4)

BTCUSD
ราคาสามารถทะลุกรอบแนวต้านสำคัญบริเวณกรอบสีแดงขึ้นมาได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งเบรกผ่านกรอบเทรนไลน์ขาลงที่กดดันราคามาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้สะท้อนถึงแรงซื้อที่กลับมาอย่างแข็งแกร่งและเริ่มเข้าควบคุมทิศทางของตลาดอีกครั้ง ส่งผลให้โมเมนตัมฝั่งขาขึ้นกลับมาโดดเด่น และมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อไปได้ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ควรจับตาอยู่ที่บริเวณ 112,153.74 ดอลลาร์ และระดับถัดไปที่ 115,335.35 ดอลลาร์ ตามลำดับBTCUSD (H4)

US100
ราคายังคงเคลื่อนไหวภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยังรักษาระดับเหนือแนวรับสีแดงซึ่งถือเป็นโซนสำคัญได้อย่างมั่นคง แม้ก่อนหน้านี้จะมีจังหวะแกว่งตัวออกด้านข้างในระยะสั้น แต่ในที่สุดราคาก็สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาเหนือแนวรับเดิมได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงมีบทบาทหลักในการหนุนตลาดอยู่ในขณะนี้ ลักษณะดังกล่าวยิ่งตอกย้ำแนวโน้มขาขึ้นที่ยังไม่เสื่อมถอย และเปิดโอกาสให้ราคาขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 22,500 จุด และ 22,700 จุด ตามลำดับUS100 (H4)
