FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม
เปิดบัญชี
เปิดบัญชีล็อกอิน
เปิดบัญชี

14 เม.ย. 2023

เรื่องราวของเทรดเดอร์

10 เทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

1.png

มาพักจากการดูกราฟสักครู่แล้วอ่านเกี่ยวกับเทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและสร้างตำนานไว้ในประวัติศาสตร์การซื้อขาย

ความสำเร็จของเทรดเดอร์ไม่ได้มีอะไรได้มาง่าย ๆ เพราะนอกเหนือจากความสำเร็จแล้ว ก็ยังรวมถึงการสูญเสียอีกนับร้อยครั้งด้วย ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยสีสันทั้งเรื่องชัยชนะและเรื่องราวดราม่า และโอบล้อมไปด้วยเงินทอง การเก็งกำไร และทรัพย์สมบัติมากมาย

เราได้จัดทำรายชื่อผู้ดูแลสภาพคล่องที่มีชื่อเสียงที่สุด รวมถึงเทรดเดอร์ระดับตำนานในประวัติศาสตร์และเทรดเดอร์สมัยใหม่ในยุคของเราเอาไว้ การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด การคิดล่วงหน้า และการมีความยืดหยุ่นช่วยให้พวกเขากลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็มาอ่านบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวคุณเองในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กันเลย

2.png

1. จอร์จ โซรอส

จอร์จ โซรอส (George Soros) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "บุรุษผู้ล้มระบบธนาคารกลางอังกฤษ" เกิดในประเทศฮังการีในปี ค.ศ. 1930 เขาเป็นชาวยิวผู้รอดพ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอพยพหนีออกจากประเทศไปได้ในตอนนั้น เขาเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ได้รับความนิยมและโด่งดังไปทั่วโลก ที่ประเทศอังกฤษ จอร์จ โซรอสทำงานเป็นบริกรหรือพนักงานยกกระเป๋าที่สถานีรถไฟก่อนจบการศึกษาจาก London School of Economics ซึ่งได้ทำให้เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการธนาคารในที่สุด เมื่อเขาได้กลายเป็นนายธนาคารพาณิชย์ที่ Singer and Friedlander

ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อของเขา เขาได้ย้ายไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทำงานที่บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ Wall Street หลังจากประสบความสำเร็จในบริษัทต่าง ๆ จอร์จได้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขาในปี 1970 โดยใช้ชื่อว่า "Quantum" ซึ่งทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา

ในปี ค.ศ. 1992 จอร์จ โซรอสวางเดิมพันครั้งใหญ่กับเงินปอนด์อังกฤษและทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

Quantum ระดมเงินทุนได้ 3.9 พันล้านปอนด์ และจอร์จ โซรอสกู้เงินเพิ่มเพื่อระดมเงินทุนเพิ่มอีก ทำให้ยอดรวมทั้งหมดเป็น 5.5 พันล้านปอนด์ แต่แล้วเงินปอนด์อังกฤษก็เริ่มอ่อนค่าลง และจอร์จ โซรอสได้ขายชอร์ตเงินปอนด์ไปทั้งหมด 5.5 พันล้านปอนด์เทียบกับเงินมาร์คเยอรมันในวันที่ 16 กันยายน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Black Wednesday หรือวันพุธทมิฬ สิ่งนี้ทำให้ราคาของสกุลเงินปอนด์ร่วงลงและบีบให้สหราชอาณาจักรล้มลงจากกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของยุโรปนี้

มันกลายเป็นหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐที่หาได้เร็วที่สุดเท่าที่ใคร ๆ เคยทำได้ และเป็นหนึ่งในการซื้อขายที่โด่งดังที่สุดที่เคยมีมา ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "การล่มสลายของธนาคารกลางอังกฤษ"

3.png

2. เจสซี่ ลิเวอร์มอร์

ชีวิตของเจสซี่ ลิเวอร์มอร์ (Jesse Livermore) อาจเป็นเรื่องราวที่นำไปสร้างภาพยนตร์ได้เลยเชียวล่ะ เขาเกิดในปี ค.ศ. 1877 โชคชะตากำหนดให้ชีวิตของเขาเป็นชาวไร่ชาวนา แต่เขาหนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นมหาเศรษฐี เรื่องราวของเขาแวดล้อมไปด้วยเงิน ผู้หญิง การล้มละลาย และเรื่องอื้อฉาว

ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็ก ๆ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์เรียนรู้ที่จะอ่านและเขียน เขาสนใจข่าวและเศรษฐกิจ และยังสามารถวิเคราะห์ราคาได้ด้วย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา เขาเชี่ยวชาญด้านการระบุการกลับตัวของแนวโน้มและทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคสมัยใหม่เป็นที่นิยม เจสซี่ ลิเวอร์มอร์เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ใช้คำสั่งตัดขาดทุน (Stop Loss) ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

เจสซี่ทำการขายชอร์ตหุ้นมูลค่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกก่อนเกิดแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก ในปี ค.ศ. 1925 เขาทำกำไรได้ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการขายชอร์ตข้าวสาลี จากนั้นเขาก็ทำกำไรได้ประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากการขายชอร์ตหุ้นสหรัฐฯ ก่อนที่ตลาดหุ้นจะพังทลายในปี ค.ศ. 1929 ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ร่ำรวยที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนั้น เจสซี่ได้รับฉายาว่า "The Boy Plunger" หรือ "เจ้าหนุ่มนักเก็งกำไรสายชอร์ต"

อย่างไรก็ดี เจสซี่ผ่านการล้มละลายมาหลายครั้ง โดยในสองครั้งแรกเขายังคงสามารถกลับเข้าสู่ตลาดได้ แต่การล้มละลายครั้งที่สามนั้นร้ายแรงมาก เขาทำผิดพลาดและสูญเสียเงินทั้งหมดไปในปี ค.ศ. 1929

เมื่อโศกนาฏกรรมในครอบครัว ความเครียด และความล้มเหลวอื่น ๆ รุมเร้า เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ตระหนักได้ว่าเขาไม่อาจทำการซื้อขายได้ดังเดิมอีกต่อไป ในปี ค.ศ. 1940 เขาก็จบชีวิตของตนด้วยการยิงตัวตาย

อย่างไรก็ตาม เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ จูเนียร์ (Jesse Livermore Jr.) ลูกชายของเขาที่ได้นิสัยติดสุราตามแม่ของตนก็ปลิดชีวิตตัวเองในปี ค.ศ. 1975 หลังยิงสุนัขสุดรักของเขาขณะเมาและพยายามยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

4.png

3. วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์

หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ฝึกฝนด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค คุณต้องเคยได้ยินชื่อของ W.D. Gann และทฤษฎีการซื้อขายของเขา วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์ (William Delbert Gann) เกิดในปี ค.ศ. 1878 ในรัฐเท็กซัส เขาเป็นลูกคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 11 คนในครอบครัวชาวไร่ฝ้ายที่มีฐานะยากจน เขาเรียนไม่จบชั้นประถมและไม่ได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมใด ๆ ทั้งนั้น เพราะพ่อแม่ของเขาคาดหวังให้เขาทำงานในฟาร์ม

วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและได้รับการศึกษาส่วนใหญ่จากพระคัมภีร์ สไตล์การเขียนของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนและอ้อมค้อม ซึ่งหลายคนคิดว่ามันยากที่จะเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์ได้สร้างเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลัง ซึ่งประกอบด้วย Gann Angles, Hexagon, Circle of 360, Square of 9 และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยส่วนใหญ่จะอิงจากคณิตศาสตร์โบราณ เรขาคณิต ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ และเทรดเดอร์ก็นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

นักวิจารณ์อ้างว่าไม่มีข้อพิสูจน์ที่แท้จริงใดที่พิสูจน์ได้ว่าแกนน์ไม่ได้ทำเงินได้จากการลงทุนในตลาด แต่เขาทำเงินได้จากการขายหนังสือและหลักสูตรการลงทุน และก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจนว่า W.D. Gann ร่ำรวยแค่ไหนจากการวิเคราะห์การซื้อขายของเขา แต่เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1950 ทรัพย์สินของเขามีมูลค่ามากกว่า 100,000 ดอลลาร์เล็กน้อย

แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว แกนน์ได้สร้างกฎการซื้อขายตั้งแต่หลักการจัดการเงินขั้นพื้นฐานไปจนถึงเกมจิตวิทยาซึ่งยังคงใช้ได้จวบจนปัจจุบัน

5.png

4. พอล ทิวดอร์ โจนส์

พอล ทิวดอร์ โจนส์ (Paul Tudor Jones) เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์หุ้นวงในที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1976 พอลเริ่มซื้อขายฝ้ายล่วงหน้าที่ตลาดซื้อขายฝ้ายนิวยอร์ก (New York Cotton Exchange) เกร็ดขำขัน: เขาตกงานเพราะเผลอหลับคาโต๊ะของเขาหลังจากปาร์ตี้กับเพื่อนในคืนก่อนหน้า จากนั้น พอลก็ทำงานเป็นนายหน้าซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ และในปี 1980 เขาได้ก่อตั้งบริษัทการค้าและการลงทุนชื่อ Tudor Investment Corporation กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนได้ 100% ในช่วงห้าปีแรก ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่น่าอัศจรรย์สำหรับยุคปัจจุบันนี้

คำทำนายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพอลคือการร่วงลงของตลาดในปี ค.ศ. 1987 หรือที่รู้จักกันว่า Black Monday หรือวันจันทร์ทมิฬ เนื่องจากการคาดการณ์ที่ถูกต้อง แทนที่เขาจะสูญเสียเงินเหมือนคนอื่น ๆ พอลกลับทำกำไรได้ไปประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

พอล ทิวดอร์ โจนส์ได้พัฒนากลยุทธ์การซื้อขายของเขาเองที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ กฎหลักของเขาคือต้องสม่ำเสมอและไม่หวังว่าจะได้เงินอย่างรวดเร็ว ทักษะการจัดการความเสี่ยงสูงของเขาและความคาดหวังที่เป็นไปได้จริงเกี่ยวกับการซื้อขายที่เป็นไปได้ทำให้เขามีรายได้ที่มั่นคง

6.png

5. จิม โรเจอร์ส

ตั้งแต่วัยเยาว์ จิม โรเจอร์ส (Jim Rogers) มีไหวพริบในการทำธุรกิจค้าขายถั่วลิสงและพลาสติกใช้แล้วที่แฟนเบสบอลทิ้ง เขาจบการศึกษาปริญญาตรี สาขาประวัติศาสตร์ ด้วยเกียรตินิยมดี (cum laude) และปริญญาตรีใบที่สอง สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ตอนนี้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิโดยประมาณของจิม โรเจอร์สมีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี ค.ศ. 1964 จิม โรเจอร์สได้เข้าทำงานที่บริษัท Dominick & Dominick LLC ใน Wall Street เพื่อซื้อขายหุ้นและพันธบัตร แต่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 ถึง 1968 จิมอยู่ในกองทัพระหว่างสงครามเวียดนาม

สองปีหลังจากรับใช้ชาติในสงครามเวียดนาม จิมได้เข้าทำงานธนาคารเพื่อการลงทุน โดยเขาได้พบกับจอร์จ โซรอส หุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 พวกเขาร่วมกันก่อตั้งกองทุน Quantum Fund ซึ่งสร้างผลตอบแทนได้ถึง 4,200% ในช่วงระยะเวลาสิบปี

ทักษะสูงสุดที่ช่วยให้จิม โรเจอร์สกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จคือความสามารถของเขาในการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ ในช่วงทศวรรษที่ 1990 เขาได้คาดการณ์ว่าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นขาขึ้นได้อย่างถูกต้อง จิมยังวิจารณ์ถึงการที่ธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่สามารถต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นได้อีกด้วย โดยเตือนว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายลงก่อนที่จะมีเสถียรภาพ

ในวัยเกษียณ จิม โรเจอร์สได้ออกเดินทางท่องเที่ยวเป็นเวลาสามปีใน 116 ประเทศ ด้วยรถ Mercedes ที่สั่งทำพิเศษ การเดินทางครั้งนี้สร้างสถิติโลกสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย โดยเขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในครั้งนี้ไว้เช่นกัน

7.png

6. ริชาร์ด เดนนิส

ริชาร์ด เดนนิส (Richard Dennis) หรือที่รู้จักกันในฉายา "Prince of the Pit" หรือ "เจ้าชายแห่งสินค้าโภคภัณฑ์" เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ไม่กี่คนที่เปลี่ยนเงินจำนวนเล็กน้อยให้กลายเป็นเงินล้านได้

เมื่อเดนนิสอายุ 23 ปี เขายืมเงิน 1,600 ดอลลาร์และเปลี่ยนเงินนั้นให้เป็น 200 ล้านดอลลาร์ได้ภายใน 10 ปีจากการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ เขาซื้อขายด้วยเงินเพียง 400 ดอลลาร์สหรัฐจากเงิน 1,600 ดอลลาร์สหรัฐก้อนนี้

ภายหลัง ในปี 1973 ริชาร์ด เดนนิสทำกำไรได้ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปีต่อมา เขามีรายได้เพิ่มขึ้น 500,000 ดอลลาร์สหรัฐจากการซื้อขายในตลาดถั่วเหลือง และกลายเป็นเศรษฐีและเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงในปลายปี 1974

แต่เดนนิสก็ขาดทุนเช่นกันในช่วงที่ตลาดหุ้นตกในปี ค.ศ. 1987 และฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี ค.ศ. 2000

ในปี ค.ศ. 1983 ริชาร์ด เดนนิสและบิล เอคฮาร์ท (Bill Eckhardt) ได้ทำการทดลองที่เรียกว่า "Turtle Traders Group" เพื่อศึกษาว่าการซื้อขายนั้นเป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดหรือเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ เดนนิสเชื่อว่าการจะเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้นั้นสามารถเรียนรู้ได้และพัฒนาทักษะนั้นได้ เช่นเดียวกับเต่าที่เลี้ยงในฟาร์ม ตรงกันข้ามกับ Eckhardt เขามองว่าการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด มิฉะนั้นพวกเขาก็จะเรียนรู้ไม่ได้

ในระหว่างการทดลอง พวกเขาออกแบบระบบการซื้อขายที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นบวกระหว่างทั้งสองกลุ่ม ปัจจุบัน เทรดเดอร์ยังคงใช้ระบบของพวกเขาหรือเวอร์ชันของมันต่อไป จากคำบอกเล่าของนักเรียนเก่า เทรดเดอร์เต่าเหล่านี้บางคนทำกำไรได้ถึง 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 4 ปี

8.png

7. จอห์น พอลสัน

Forbes, the Guardian, New York Times และสื่ออื่น ๆ มากมายเขียนเกี่ยวกับจอห์น พอลสัน "เทรดเดอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ซึ่งเกิดในปี ค.ศ. 1955

จอห์น พอลสัน (John Paulson) เริ่มต้นอาชีพของเขาที่ Boston Consulting Group ในปี ค.ศ. 1988 โดยให้คำแนะนำแก่บริษัทต่าง ๆ หลังจากเปลี่ยนงานหลายอย่าง เขาก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Paulson & Co. ด้วยเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐกับพนักงานหนึ่งคนในปี ค.ศ. 1994 ในปี ค.ศ. 2003 กองทุนของเขามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ชื่อเสียงและความมั่งคั่งร่ำรวยของจอห์น พอลสันเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี ค.ศ. 2007-2008 เมื่อเขามีรายได้เกือบ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ "เปลี่ยนจากผู้จัดการเงินที่ไม่มีคนรู้จักไปสู่ผู้จัดการเงินในตำนาน" ก่อนที่ตลาดจะล่มสลาย เขาซื้อสัญญาแลกเปลี่ยนเครดิตผิดนัดชำระหนี้ที่ใช้แล้วและใช้มันเพื่อเดิมพันกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยซับไพรม์ (Subprime) ของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางคนเรียกว่าเป็นการซื้อขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ในปี 2010 จอห์น พอลสัน ทำเงินได้ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในทองคำเป็นหลัก Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาไว้ที่ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2023

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียเงินลงทุนของจอห์นในหุ้นบางตัวทำให้นักลงทุนหนีออกจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Paulson & Co ของเขา โดยทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารลดลงเหลือ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 จากระดับสูงสุด 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2011

มหาเศรษฐีแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการกระจายการลงทุน ไม่เพียงแต่กระจายสินทรัพย์เท่านั้น แต่รวมถึงกลยุทธ์ด้วย โดยเป็นการผสมผสานกลยุทธ์การเก็งกำไรแบบอนุรักษ์นิยมและแนวคิดการเก็งกำไรอย่างตรงไปตรงมาด้วยการแบ่งกองทุน

9.png

8. สตีเวน โคเฮน

สตีเวน โคเฮน (Steven Cohen) เกิดในปี ค.ศ. 1956 ที่รัฐนิวยอร์ก ในฐานะนักเล่นโป๊กเกอร์ตัวยง สตีเวนใช้เงินทั้งหมดที่เขาได้รับจากการเล่นไพ่ไปกับการเก็งกำไรหุ้นในขณะที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย โดยในช่วงพักเบรกเขาวิ่งไปที่สำนักงานธนาคาร Merrill Lynch ที่ใกล้ที่สุด

ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิในปัจจุบันประมาณ 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โคเฮนเริ่มต้นอาชีพของเขาที่บริษัทวาณิชธนกิจ Gruntal และเข้าสู่ตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1978

ในการทำงานวันแรกของเขา สตีเวนเริ่มต้นด้วยการทำเงินได้ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นเขาก็ทำเงินให้บริษัทได้ถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในปี 1992 เขาลาออกจาก Gruntal และก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่ง นั่นคือ SAC Capital Partners ภายในปี ค.ศ. 2013 กำไรเฉลี่ยต่อปีของ SAC สูงถึง 25%

แม้ว่าสตีเวนจะประสบความสำเร็จและร่ำรวย แต่เส้นทางชีวิตของเขาไม่ได้มีแต่ชัยชนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสูญเสียหลายครั้งด้วย ในปี ค.ศ. 2010 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ทำการสอบสวน SAC สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน แม้ว่าสตีเวนจะไม่ถูกตั้งข้อหา แต่บริษัทก็สารภาพผิดและจ่ายค่าปรับ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่อมาในภายหลังเขาถูกบังคับให้ปิดกองทุนของเขา

แต่สตีเวน โคเฮนได้กลายเป็นที่รู้จักจากความสามารถที่ประสบความสำเร็จและทำกำไรได้ในทุกสถานการณ์ เขายังเป็นเทรดเดอร์หุ้นที่มีชื่อเสียงซึ่งชอบความเสี่ยงและได้รับชัยชนะครั้งใหญ่อีกด้วย ปัจจุบันเขาเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Point72 Asset Management ซึ่งเป็นสำนักงานของครอบครัวในสแตมฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต

10.png

9. เดวิด เท็ปเปอร์

เดวิด เท็ปเปอร์ (David Tepper) บุรษผู้ร่ำรวยที่สุด ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จ และผู้ใจบุญ เขาเกิดในปี ค.ศ. 1957 ในครอบครัวชาวยิว เดวิดก้าวเข้าสู่ตลาดในขณะที่ยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ในปี ค.ศ. 1982

หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว เดวิด เท็ปเปอร์ได้งานที่ Equibank ในตำแหน่งนักวิเคราะห์สินเชื่อและได้เข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมการเงิน จากนั้น เขาก็เปลี่ยนบริษัทที่ทำงานหลายแห่ง โดยเขาเคยทำงานที่ Keystone ด้วย และได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานใน Goldman Sachs เป็นเวลาแปดปี โดยมุ่งเน้นที่การจัดการกับปัญหาการล้มละลายและสถานการณ์พิเศษเป็นหลัก เดวิด เท็ปเปอร์มีบทบาทสำคัญสำหรับการอยู่รอดของ Goldman Sachs หลังจากตลาดหุ้นตกในปี ค.ศ. 1987 เขาซื้อตราสารหนี้จากสถาบันการเงินที่กำลังจะล้มละลายซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเมื่อตลาดฟื้นตัว

แต่เดวิด เท็ปเปอร์พยายามที่จะบริหารกองทุนของเขาเองและซื้อขายอย่างจริงจังเพื่อรวบรวมเงินให้เพียงพอสำหรับสิ่งนี้ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1993 เขาได้ก่อตั้ง Appaloosa Management หนึ่งการลงทุนที่ทำกำไรได้เร็วที่สุดและมากที่สุดคือการลงทุนใน Conseco และ Marconi ต่อจากนั้น Appaloosa ก็ได้ตั้งตัวเองเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เชี่ยวชาญด้านตราสารหนี้ที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งเชื่อมโยงกับการลงทุนในตราสารทุนสาธารณะทั่วโลกและตลาดตราสารหนี้

ในปี ค.ศ. 2009 Appaloosa ทำรายได้ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการซื้อหุ้นที่มีปัญหาซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาในปีนั้น กำไร 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตกเป็นของเดวิด เท็ปเปอร์เป็นการส่วนตัว ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีรายได้สูงสุดในปี ค.ศ. 2009

มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเดวิด เท็ปเปอร์อยู่ที่ 16.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของ Forbes ในปี ค.ศ. 2020 สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในพอร์ตโฟลิโอของเขาคือ Alibaba ที่ 13% และ Amazon ที่ 11%

11.png

10. นิค ลีสัน

นิค ลีสัน (Nick Leeson) เกิดในปี ค.ศ. 1967 และมีชื่อเสียงจากการล้มละลายของ Barings Bank จากการที่เขาไม่ได้มีการศึกษาสูง เขาจึงได้ทำงานเอกสารที่ธนาคาร Coutts ซึ่งไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษอะไร

แต่นิค ลีสันยังคงพัฒนาความรู้ทางการเงินของเขาต่อไปเรื่อย ๆ และไม่นานก็ย้ายไปทำงานที่ Morgan Stanley ที่ซึ่งเขาได้รับการสอนวิธีคำนวณฟิวเจอร์สและออปชันอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาได้ทำงานที่ Barings Bank และต่อมาก็เดินทางไปทำงานที่เอเชียที่ Singapore International Monetary Exchange (SIMEX)

เรื่องราวสุดโด่งดังของเขาเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1992 Barings ได้เปิดสำนักงานฟิวเจอร์สและออปชันในสิงคโปร์ ที่ทำการดำเนินการและเคลียร์ธุรกรรมการซื้อขายบน SIMEX นิค ลีสัน เมื่ออายุ 26 ปี นอกเหนือจากการทำกิจกรรมในฐานะเทรดเดอร์แล้ว เขายังเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของสำนักงานฟิวเจอร์สและออปชันในสิงคโปร์ และเริ่มทำการซื้อขายเก็งกำไรโดยไม่ได้รับอนุญาต

ในตอนแรก การซื้อขายเหล่านี้สร้างกำไรมหาศาลให้กับ Barings โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมา 10 ล้านปอนด์ หรือ 10% ของกำไรประจำปีของบริษัท นิคยังได้รับโบนัส 130,000 ปอนด์จากเงินเดือน 50,000 ปอนด์อีกด้วย แต่แล้วโชคชะตาก็เปลี่ยนไป และนิค ลีสันเริ่มใช้เงินของธนาคารด้วยบัญชีลับพิเศษเพื่อปกปิดการซื้อขายที่ไม่ดีของตัวเองและคนอื่น ๆ

ในปี 1995 การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดและจุดจบของนิค ลีสันและ Barings ก็เกิดขึ้น นิค ลีสันซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำนวนมากเพื่อกดดันตลาด แต่แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.2 ในญี่ปุ่นทำให้สินทรัพย์เหล่านี้ร่วงลง ผลของการฉ้อโกงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้ Barings Bank ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 233 ปี ขาดทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกขายให้กับ ING กลุ่มบริษัทในเครือของเนเธอร์แลนด์ในราคา 1 ปอนด์

นิค ลีสันหนีออกจากธนาคารโดยทิ้งข้อความสามคำไว้ว่า “ผมขอโทษ” เขาหวังว่าจะหลีกเลี่ยงคุกสิงคโปร์ได้ แต่ถูกทางเยอรมนีควบคุมตัวและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเขารับโทษจำคุกสี่ปีในเรือนจำท้องถิ่น รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 6.5 ปี นิค ลีสันเป็นมะเร็งขณะอยู่ในคุก แต่แพทย์ชาวสิงคโปร์ที่เก่งที่สุดได้ทำรักษานักโทษชื่อดังก้องโลกจนหายดี

ปัจจุบัน นิคไม่สามารถเปิดตำแหน่งใด ๆ ในตลาดหุ้นได้ แต่ยังคงทำเงินได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนสำหรับการประชุมของเขา

ด้วยการเดินตามรอยเท้าของเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนร่ำรวยขึ้น เรื่องราวของพวกเขาอาจมีความขัดแย้ง แต่ก็ยังโดดเด่นและเป็นที่พูดถึง และเทรดเดอร์ทุกคนในรายการของเราก็สามารถพิชิตตลาดและทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นทุกคนที่มีความคิดที่ดีสามารถลงมือทำได้ใน FBS Personal Area หรือแอป FBS Trader ซึ่งมือใหม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อพัฒนาทักษะการซื้อขายและเรียนรู้เกี่ยวกับการซื้อขายได้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ใครคือเทรดเดอร์รายวันที่ร่ำรวยที่สุดในโลก?

เทรดเดอร์ที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ชอบที่จะไม่เปิดเผยตัวตน นั่นเป็นเหตุผลที่เราอาจไม่มีวันรู้คำตอบนี้เลย อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ทั้งหมดที่กล่าวถึงในรายการของเราทำเงินได้มหาศาล

ใครคือผู้ที่ทำเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์?

จอร์ส โซรอสวางเดิมพันครั้งใหญ่กับเงินปอนด์อังกฤษและทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงในปี ค.ศ. 1992 เขาขายชอร์ตเงิน 5.5 พันล้านปอนด์ในวัน Black Wednesday และล้มธนาคารกลางอังกฤษ

เทรดเดอร์รายวันใดที่ประสบความสำเร็จจากการฉ้อโกง?

นิค ลีสันทำให้ธนาคาร Barings Bank ล้มละลายและทำการซื้อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยใช้เงินของธนาคาร เขาถูกตัดสินให้จำคุก

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก

FBS ณ สื่อสังคมออนไลน์

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon

ติดต่อเรา

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
App Store
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
Google Play

การซื้อขาย

บริษัท

เกี่ยวกับ FBS

เอกสารทางกฎหมาย

ข่าวเกี่ยวกับบริษัท

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

ศูนย์ช่วยเหลือ

โปรแกรมพันธมิตร

เว็บไซต์นี้ดำเนินการโดย FBS Markets Inc. หมายเลขจดทะเบียน 000001317 ซึ่ง FBS Markets Inc. ได้รับการจดทะเบียนโดย Financial Services Commission ภายใต้พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯ 2021 (Securities Industry Act 2021) ใบอนุญาตเลขที่ 000102/31 ที่อยู่สำนักงาน: 9725, Fabers Road Extension, Unit 1, Belize City, Belize

โดย FBS Markets Inc. ไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตอำนาจศาลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, อิสราเอล, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน, เมียนมาร์

ธุรกรรมการชำระเงินได้รับการจัดการโดย HDC Technologies Ltd.; Registration No. HE 370778; Legal address: Arch. Makariou III & Vyronos, P. Lordos Center, Block B, Office 203, Limassol, Cyprus ที่อยู่เพิ่มเติม: Office 267, Irene Court, Corner Rigenas and 28th October street, Agia Triada, 3035, Limassol, Cyprus

เบอร์ติดต่อ: +357 22 010970 เบอร์ติดต่อเพิ่มเติม: +501 611 0594

สำหรับความร่วมมือ กรุณาติดต่อเราผ่าน [email protected]

คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินและการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้นอย่างถ่องแท้ และคุณควรตระหนักถึงระดับประสบการณ์ของตนเอง

การคัดลอก การทำสำเนา การเผยแพร่ รวมถึงแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเนื้อหาใดๆ จากเว็บไซต์นี้สามารถดำเนินการได้เฉพาะเมื่อได้รับการอนุญาตที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การชี้แนะ หรือการชักชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น