FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16
23 พ.ค. 2025
พื้นฐาน
ทุกวันนี้ แหล่งข่าวทุกแห่งต่างพูดถึง "เงินเฟ้อ" บทความทางเศรษฐกิจต่างส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้คนจำนวนมากจึงสับสนกับข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกมา ส่วนในตลาดฟอเร็กซ์ เทรดเดอร์จะจับตามองดัชนีทางเศรษฐกิจนี้อย่างใกล้ชิดอยู่เป็นประจำ
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเงินเฟ้อและทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง
อัตราเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ตาม
เงินเฟ้อคือการที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น จำนวนสินค้าที่คุณสามารถซื้อได้ด้วยเงินจำนวนเดิมก็จะลดลง ตัวอย่างเช่น เมื่อวานคุณมีเงิน 5 ดอลลาร์ และสามารถซื้อช็อกโกแลตได้ 5 แท่ง แต่ในวันนี้ ด้วยเงิน 5 ดอลลาร์เท่าเดิม คุณกลับซื้อได้เพียง 3 แท่ง นี่แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
ไม่ใช่เงินเฟ้อทุกประเภทที่จะสร้างความหายนะ มันมีหลายระดับ ตั้งแต่แบบอ่อนสุดไปจนถึงรุนแรงที่สุด
เงินเฟ้อแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือเงินเฟ้อระดับอ่อน หมายถึงภาวะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นไม่เกิน 3% ต่อปี โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ มองว่าหากราคาเพิ่มขึ้น ไม่เกิน 2% ต่อปี จะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ นี่คือวิถีของการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2%
เป็นเงินเฟ้อประเภทที่รุนแรงขึ้นมา มักเกิดขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ระหว่าง 3-10% ในภาวะนี้ผู้คนจะเริ่มซื้อสินค้าเกินความจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงราคาที่จะสูงขึ้นในอนาคต การกระทำนี้ยิ่งทำให้ความต้องการในตลาดเพิ่มสูงขึ้น จนผู้ผลิตและค่าจ้างตามไม่ทัน ในที่สุดสินค้าและบริการทั่วไปก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีราคาแพงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่
เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 10% หรือมากกว่านั้น จะนำมาซึ่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติจะหลีกเลี่ยงประเทศนั้น ทำให้ประเทศขาดแคลนเงินทุนที่จำเป็น เศรษฐกิจจะไม่มั่นคงและความน่าเชื่อถือของผู้นำรัฐบาลก็จะลดลง เงินเฟ้อแบบวิ่งนี้ต้องถูกป้องกันด้วยทุกวิถีทาง เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้
เงินเฟ้อแบบวิ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่พบได้บ่อยกว่าเงินเฟ้อรุนแรง (hyperinflation) และสามารถพบเห็นได้เป็นระยะแม้แต่ในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ตัวอย่างเช่น พบว่าเงินเฟ้อแบบวิ่งได้เกิดขึ้นในช่วงหลังสงคราม (ปี 1945-1952) และในช่วงทศวรรษ 1970 เนื่องจากราคาน้ำมันที่กำหนดโดย OPEC เพิ่มขึ้น
ในช่วงทศวรรษ 2000 จำนวนประเทศที่ประสบกับเงินเฟ้อแบบวิ่งได้ลดลงอย่างมาก อัตราสูงสุดของกรณีดังกล่าวได้เกิดขึ้นที่แองโกลาในปี 2004-2005 ด้วยอัตรา 23%
ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ต่อเดือน มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยากมาก โดยส่วนใหญ่แล้วตัวอย่างของภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมักเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลพิมพ์เงินออกมาเพื่อใช้จ่ายในสงคราม ตัวอย่างเช่น เยอรมนีในช่วงทศวรรษ 1920 ซิมบับเวในช่วงทศวรรษ 2000 และเวเนซุเอลาในช่วงทศวรรษ 2010 สำหรับสหรัฐอเมริกา ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงได้เคยเกิดในช่วงสงครามกลางเมือง
ภาวะเงินฝืด (Deflation) หมายถึงการที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดลง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ราคาตกต่ำลง จึงตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ
ภาวะเงินฝืดทำให้อำนาจซื้อของเงินเพิ่มขึ้น พูดได้อีกอย่างว่าถึงคุณจะมีเงินเท่าเดิม แต่เพราะราคาสินค้าลดลง เงินของคุณจึงซื้อของได้มากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดของภาวะเงินฝืดคือช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ (Great Depression)
ภาวะเงินฝืดได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อ GDP เพราะผู้บริโภคมักจะไม่ยอมซื้อสินค้าเนื่องจากรอให้ราคาลดลงอีก นี่คือเหตุผลที่ธนาคารกลางไม่เพียงแต่ต่อต้านภาวะเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับภาวะเงินฝืดด้วย
สิ่งนี้แตกต่างจาก ภาวะเงินเฟ้อชะลอตัว ซึ่งหมายถึงเพียงการที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นช้าลง (และมักมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน) ในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของชาติเมื่อเวลาผ่านไป
ภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวเกิดขึ้นเมื่ออัตราการเพิ่มขึ้นของระดับราคาผู้บริโภคชะลอลงจากช่วงก่อนหน้าที่ราคากำลังเพิ่มขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ คือการผสมผสานระหว่างภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ มันเป็นช่วงเวลาที่ยังคงมีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจกลับหยุดนิ่ง
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในเมื่อความต้องการไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แล้วทำไมราคาจึงสูงขึ้น?
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 เมื่อสหรัฐอเมริกาล้มเลิกมาตรฐานทองคำ เมื่อมูลค่าของดอลลาร์ไม่ได้ผูกติดกับทองคำอีกต่อไป มูลค่าของมันจึงดิ่งเหว ในขณะเดียวกันราคาทองคำกลับพุ่งสูงขึ้น ในช่วงเวลานั้น ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ พอล วอล์คเกอร์ สามารถยุติภาวะเงินเฟ้อชะงักงันได้ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นตัวเลขสองหลัก เขาได้ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับนั้นนานพอที่จะขจัดความคาดหวังว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นอีก
อัตราเงินเฟ้อตามค่าจ้าง หมายถึงการเพิ่มขึ้นของค่าจ้าง ซึ่งหมายความว่าคนงานจะได้รับค่าจ้างสูงขึ้น แน่นอนว่าทุกคนต่างคิดว่าตัวเองสมควรได้รับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น แต่ค่าจ้างที่สูงขึ้นนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยของเงินเฟ้อจากด้านต้นทุน (cost-push inflation) ที่อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการของบริษัทได้
อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง (หรือพื้นฐาน) จะวัดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในเศรษฐกิจที่เกิดจากแรงตลาดเป็นหลัก กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงราคาที่สะท้อนเฉพาะภาวะอุปสงค์และอุปทานในเศรษฐกิจเท่านั้น
เงินเฟ้อประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นในที่สุด หากไม่มีอุปสรรคทางเศรษฐกิจ การหยุดชะงักของอุปทาน การเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรุนแรง หรือการรบกวนอื่น ๆ ที่คาดเดาไม่ได้
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะวัดการขึ้นราคาของสินค้าและบริการทุกประเภท ยกเว้นอาหารและพลังงาน เนื่องจากราคาของสินค้าเหล่านี้มีความผันผวนสูงตามฤดูกาล การไม่รวมอาหารและพลังงานทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อที่แท้จริงได้แม่นยำกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป นี่คือเหตุผลที่ธนาคารกลางมักใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในการกำหนดนโยบายการเงิน พวกเขาจะใช้เป็นตัวชี้วัดหลักสำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน มันอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานผ่านการเพิ่มความคาดหวังด้านราคาได้
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานวัดได้จากทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) และดัชนีค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) โดย CPI จะวัดราคาสินค้าและบริการที่ครัวเรือนซื้อ ส่วน PCE จะวัดราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อ ดังนั้น การที่เรียกว่า "พื้นฐาน" ก็หมายความว่าไม่รวมอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานและดัชนีค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลพื้นฐานคล้ายกับเป็นพี่น้องกันเนื่องจากทั้งสองต่างทำหน้าที่ช่วยบอกระดับเงินเฟ้อในเศรษฐกิจ
ตอนนี้เมื่อเราเข้าใจนิยามต่าง ๆ ของเงินเฟ้อแล้ว มาดูวิธีการวัดและวิเคราะห์กัน
เงินเฟ้อวัดได้จาก "อัตราเงินเฟ้อ" ซึ่งคือร้อยละการเปลี่ยนแปลงของราคาจากปีหนึ่งไปยังอีกปีหนึ่ง อัตราเงินเฟ้อสามารถวัดได้หลายวิธี ดังนี้:
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดต้นทุนรวมของสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคได้ซื้อในช่วงเวลาหนึ่ง โดยใช้ชุดสินค้าตามแบบสำรวจครัวเรือน ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนชุดสินค้านั้นจึงบ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อ โดยชุดสินค้าดังกล่าวประกอบด้วยกลุ่มต่าง ๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม การรักษาพยาบาล การคมนาคม เป็นต้น
ในทางกลับกัน ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) จะวัดอัตราเงินเฟ้อจากมุมมองของผู้ผลิต โดย PPI จะเป็นตัวชี้วัดราคาเฉลี่ยที่ผู้ผลิตได้รับสำหรับสินค้าและบริการที่ผลิตภายในประเทศ วิธีการคำนวณ PPI คือ นำราคาปัจจุบันที่ผู้ขายได้รับจากชุดสินค้าตัวแทน มาหารด้วยราคาของสินค้าชุดเดียวกันในปีฐาน แล้วคูณผลลัพธ์ด้วย 100
ดัชนีตัวที่สามที่นิยมใช้คือ ดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งจะวัดการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าและบริการที่ครัวเรือนบริโภค โดยอ้างอิงจากข้อมูล GDP ที่ได้จากผู้ผลิต PCE มีความเฉพาะเจาะจงน้อยกว่า CPI เพราะใช้การประมาณการราคาจาก CPI เป็นหลัก แต่ยังรวมข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ด้วย เช่นเดียวกับดัชนีอื่น ๆ การเพิ่มขึ้นของดัชนีนี้จากปีหนึ่งไปอีกปีหนึ่งจะบ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อ
การประกาศข้อมูล CPI (ที่คุณสามารถตรวจสอบได้ในปฏิทินเศรษฐกิจปฏิทินเศรษฐกิจ) เป็นที่สนใจในหมู่เทรดเดอร์ เพราะมีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างเงินเฟ้อ ธนาคารกลาง และค่าเงิน ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะพยายามรักษาอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ประมาณ 2%
เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ความต้องการถือสกุลเงินนั้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนจึงปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อต่ำเกินไป ธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ความต้องการถือสกุลเงินนั้นลดลง ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนร่วงลง
ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อทุกสกุลเงิน แต่ส่งผลต่อดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นพิ เศษ เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่ 7.5%
มาดูตัวอย่างกัน:
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2021 ข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐได้แสดงอัตรา CPI สูงถึง 0.9% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในปี 2021 ทันทีที่ข้อมูลถูกเผยแพร่ สกุลเงิน USD ก็แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยน USDCAD ได้พุ่งขึ้นถึง 2,060 จุด
เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง เทรดเดอร์มักจะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะใช้นโยบายผ่อนคลายเพื่อช่วยให้ราคาหุ้นและพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เทรดเดอร์มักเชื่อว่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนเช่น สินค้าโภคภัณฑ์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากเฟดอาจใช้นโยบายเข้มงวดมากขึ้น
เทรดเดอร์จะติดตามอย่างใกล้ชิดว่าตัวเลข CPI ที่ออกมาสูงหรือต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์หรือไม่ ช่วงเวลาก่อนประกาศผลนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเป็นโอกาสดีในการเทรด เพราะไม่ว่าผลจะออกมาแบบใด การประกาศตัวเลขมักก่อให้เกิดความผันผวนในตลาด ซึ่งสร้างโอกาสมากมายให้กับกลยุทธ์การซื้อขาย
สรุปแล้ว เงินเฟ้อไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเสมอไป ที่สำคัญกว่านั้น มันคือโอกาสทองในการเทรดจากความเปลี่ยนแปลงของตลาดในช่วงเวลาที่ประกาศตัวเลข CPI, PPI และ CPE
โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก